xs
xsm
sm
md
lg

น่าอดสู 3 ปลัดกระทรวงสุมหัวอุ้ม บ.เอกชนเลี่ยงภาษีส่งออกน้ำมัน “รสนา” จี้นายกฯจัดการให้ถูกต้อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

รสนา โตสิตระกูล
“รสนา” โชว์หลักฐานบริษัทรับสัมปทานน้ำมันจากแหล่ง JDA สำแดงเอกสารเท็จเลี่ยงภาษีส่งออกน้ำมัน มีปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ กระทรวงยุติธรรม สุมหัวเบรก “ดีเอสไอ” ดำเนินคดี อ้างจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดึงสตินายกฯหากบ้าจี้ใช้ ม.44 แทรกแซงการตรวจสอบของ “ดีเอสไอ” จะกลายเป็นบรรทัดฐาน รัฐจะไม่ได้ภาษีส่งออกน้ำมันจากแหล่งนี้ตลอดไป บี้ตั้งกรรมการสอบปลัดกระทรวงทั้ง 3 ทำให้ราชการเสียหายเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก “รสนา โตสิตระกูล” หัวข้อ “ขอให้นายกฯ จัดการกรณีการหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกปิโตรเลียมเหลว (คอนเดนเสท) จากแหล่งJDA ของบริษัทเอกชนให้ถูกต้อง” โดยระบุข้อความว่า...

“ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวดังในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับเอกสารหลุดลอดออกมา เรื่องที่ 3 ปลัดกระทรวงลงมติเบรก DSI ดำเนินคดีกับบริษัทต่างชาติที่หลีกเลี่ยงภาษี กรณีซื้อคอนเดนเสทจากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย (JDA) โดยสำแดงเอกสารส่งออกอันเป็นเท็จ หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีขาออก มีการอ้างว่าหากดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนที่เลี่ยงภาษีจะเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงกับมีข่าวว่าจะขอให้นายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้มาตรา 44 มาแทรกแซงคดีนี้อีกด้วย

จากข้อมูลของสำนักข่าวไทยพับลิก้าได้รายงานว่า “ที่ผ่านมา การซื้อ - ขายคอนเดนเสทจากพื้นที่ JDA ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา หากเป็นการซื้อ - ขายกันโดยตรง ระหว่างบริษัทผู้รับสัมปทานขายให้บริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศไทย หรือ มาเลเซีย แต่ก็มีหลายกรณีที่ด่านศุลกากรสงขลา ตรวจพบ บริษัทผู้รับสัมปทานนำคอนเดนเสทไปขายผ่านคนกลาง ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่ในประเทศที่ 3 ก่อนนำคอนเดนเสทมาขายให้กับบริษัทในเครือ ปตท. เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา
ยกตัวอย่าง กรณีบริษัท CARIGALI HESS OPERATION COMPANY SDN BHD นำส่วนแบ่งคอนเดนเสทที่ผลิตได้ จากแหล่งจักรวาล (Cakerawala) ไปมอบให้บริษัท HESS นำไปขายให้กับบริษัท
ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) โดยมีใบรับรองจากองค์ร่วมไทย - มาเลเซีย (MTJA) แนบมากับใบขนสินค้า แจ้งต่อด่านศุลกากรสงขลาว่าจะนำคอนเดนเสท ล็อตนี้ไปขายให้กับ ปตท.อะโรเมติกส์ฯ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาจึงทำการตรวจปล่อยสินค้า โดยไม่ได้เก็บอากรขาออก เพราะเป็นการขายให้กับบริษัทไทย”

ต่อมามีการร้องเรียนกล่าวโทษเรื่องนี้ต่อ DSI เรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีของ บริษัท CPOC (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง ปตท.สผ.และคาริการี่ ของมาเลเซีย) และ บริษัท CHESS (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคาริการี่ กับ บริษัท เฮสส์ ของสหรัฐฯ)

หลังจากมีการสอบสวนแล้ว DSI ร่วมกับพนักงานอัยการได้มีมติว่า 2 บริษัทมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามมาตรา 99 และ มาตรา 27 พ.ร.บ. ศุลกากร 2469 จึงได้แจ้งให้บริษัท CPOC และ บริษัท CHESS มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งบริษัท CPOC ได้มารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ส่วนบริษัท CHESS ขอเลื่อนมารับทราบข้อกล่าวหาในเดือนกรกฎาคม 2560 แต่ก็ไม่มา

ต่อมาปรากฎเอกสารการประชุมเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2560 หลุดลอดมาสู่สื่อมวลชนเรื่องที่กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้นัดหมายปลัดจาก 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ กระทรวงยุติธรรม มาประชุมเพื่อหาทางออกให้ 2 บริษัทดังกล่าว โดยเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ DSI ด้วยการขอให้ชะลอการสอบปากคำคดีความดังกล่าวออกไปก่อน และเสนอให้กรมศุลกากรพิจารณาการเสียภาษีขาออกโดยพิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical movement) อ้างว่า หากมีการดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนดังกล่าวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ !!!!

ทั้งที่ตามข้อตกลงไทย - มาเลเซีย มีการกำหนดชัดเจนว่า การขายน้ำมันส่วนที่เป็นกำไรจากแหล่ง JDA ไปยังไทย และ มาเลเซีย นั้น ไม่มีภาษี แต่ถ้ามีการขายนอกราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ต้องเก็บภาษีตามกฎหมายของแต่ละประเทศ โดยลดลง 50% ซึ่งประเทศไทยมีภาษีส่งออก 10% จึงเก็บได้ 5%

กรณีการขายคอนเดนเสทที่มีปัญหานี้ ตามข้อเท็จจริงปรากฎหลักฐานการซื้อขายระหว่าง บริษัท HESS GLOBALTRADING LIMITED (ผู้ขาย) กับ KARNEL OIL PTE LIMITED SINGAPORE (ผู้ซื้อ) จึงถือว่าเป็นการขายไปนอกราชอาณาจักรไทย และ มาเลเซีย ตาม พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 3 ประเภท 8 (ก) ผู้ขาย (HESS) จะต้องเสียอากร 10% โดยลดอัตราเรียกเก็บลงเหลือ 5%

หลักฐานการซื้อขายคอนเดนเสทระหว่างผู้ซื้อ คือ KARNEL OIL สิงคโปร์ และผู้ขาย คือ HESS ดูเอกสารที่ 1, 2, 3 ที่ทำไฮไลต์ สีชมพู

ใบที่ 1 (สีชมพู) คือ ใบส่งของ (invoice) ระบุชื่อว่า TO THE ORDER OF BNP PARIBAS, SINGAPORE

ใบที่ 2 (สีชมพู) เป็นเอกสารประกอบใบขนสินค้าที่มีการลงชื่อร่วมกันของพนักงานบริษัทฯและเจ้าหน้าที่องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ของผู้ขายคือ HESS ที่ระบุว่า SALE TO : PTT AROMATICS AND REFINING ทั้งที่ในความเป็นจริง สัญญาซื้อขาย ใบส่งสินค้า และTelex ระบุขายให้ Karnel Oil ของสิงคโปร์ แต่กลับพิมพ์ข้อความว่าขายให้ ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาจึงทำการตรวจปล่อยสินค้า โดยไม่ได้เก็บอากรขาออก เพราะเห็นว่าเป็นการขายให้กับบริษัทไทย จึงมีข้อสังเกตว่าที่พิมพ์ข้อความเช่นนี้เป็นการอำพรางต่อด่านศุลกากร ใช่หรือไม่ และเป็นการสำแดงเท็จด้วย ใช่หรือไม่

ใบที่ 3 (สีชมพู) เป็นหลักฐานการส่งออกคอนเดนเสทให้กับ KARNEL OIL ของสิงคโปร์ ตามหนังสือ CUSTOMER LIFTING TELEX ที่ผู้ขาย (HESS) จะออกให้เพื่อยืนยันการส่งมอบคอนเดนเสทที่เสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งเวลาที่เรือออกจากท่า ส่งให้กับผู้ซื้อ (KARNEL OIL PTE LTD) ทันที แสดงว่าคอนเดนเสทดังกล่าวได้มีการส่งออกสำเร็จแล้วตามมาตรา 46 ของ พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 และความรับผิดที่จะต้องเสียภาษีของผู้ส่งของออก (HESS) จึงเกิดขึ้นตามกฎหมายมาตรา 10 ตรี

ขอให้ผู้อ่านเปรียบเทียบเอกสารชุดที่ถูกต้องที่ทำไฮไลต์เป็น “สีเขียว” 3 ใบ ประกอบด้วย 1) ใบสั่งซื้อ 2) เอกสารประกอบใบขนสินค้าที่มีการลงชื่อร่วมกันของพนักงานบริษัทฯและเจ้าหน้าองค์กรร่วมไทย -
มาเลเซีย ที่สำแดงต่อศุลกากร และ 3) CUSTOMER LIFTING TELEX ที่ผู้ขาย (HESS) จะออกให้ผู้ซื้อเพื่อยืนยันการส่งมอบคอนเดนเสทที่เสร็จสมบูรณ์
เอกสารสีชมพูเป็นการสำแดงเท็จเพราะไม่ได้ขายให้ ปตท. แต่ขายให้ Karnel oil. ตามสัญญาซื้อขาย ใบส่งสินค้า และ Telex. ส่วนเอกสารสีเขียวเป็นการขายให้ ปตท. จริงเอกสารทั้งสัญญาซื้อขาย ใบส่งของ และ Telex. จะเป็นชื่อ ปตท. ทั้งหมด

การที่ปลัดกระทรวง 3 กระทรวง มีความเห็นในเอกสารการประชุมที่หลุดลอดออกมา ทำให้สังคมได้ล่วงรู้ข้อมูลที่มีการประชุมที่ระบุว่า “อธิบดีกรมศุลกากรได้ยืนยันโดยวาจาว่าจัดเก็บอากรขาออกฯให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical movement)” ทั้งที่ข้อพิจารณาดังกล่าวไม่มีข้อกฎหมายใดมารองรับ ใช่หรือไม่

ข้อกฎหมายเรื่องการจัดเก็บอากรขาออกที่ถูกต้อง คือ คำสั่งกรมศุลกากรที่ 5/2548 ข้อ 4 02 04 04 เพื่อเป็นการกำหนดจุดที่ภาระภาษีเกิดขึ้นในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการศุลกากรไทย - มาเลเซีย “ได้กำหนดให้เรือกักเก็บน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Vessel Area : FSOA) และ จุดตั้งมาตรวัดเพื่อวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน เป็นจุดที่ภาระภาษีเกิดขึ้นตามกฎหมาย(Tax Point)”

หากเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏว่า มีผู้บริหารระดับสูงถึง 3 กระทรวง ได้ออกหน้ามาแก้แทนบริษัทเอกชนโดยให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายเรื่องจุดที่ภาระภาษีเกิด (Tax Point) และยังจะทำเรื่องให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมายนั้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่

สิ่งที่ต้องตั้งคำถาม คือ การนำเข้าคอนเดนเสทโดยตรงจากแหล่ง JDA โดยบริษัทในประเทศไทยสามารถทำได้อยู่แล้วโดยไม่มีภาระภาษี แต่เหตุใดจึงมีการทำให้ซับซ้อนโดยขายไปที่สิงคโปร์ทอดหนึ่งก่อนจะนำเข้ามายังประเทศไทย หรือว่าการนำเข้าโดยตรงจากแหล่งเจดีเอ ทำให้ไม่สามารถบวกต้นทุนโสหุ้ย และกำไรที่ผ่านคนกลางอีกทอดหนึ่ง ใช่หรือไม่

หากนายกรัฐมนตรีบ้าจี้ทำตามข้อเสนอแนะของข้าราชการระดับสูงเหล่านี้ ที่เสนอให้นายกฯใช้มาตรา 44 เข้ามาแทรกแซงคดีความการหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัทเอกชน ก็จะทำให้บริษัทเอกชนที่หลีกเลี่ยงภาษีไม่ต้องรับผิด ส่วนรัฐสูญเสียภาษีไปโดยไม่ถูกต้อง

แต่ประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นคือ จะทำให้กรณีนี้กลายเป็นบรรทัดฐานให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกจากแหล่ง JDA และรัฐบาลจะไม่ได้ภาษีจากการส่งออกน้ำมันของแหล่ง JDA ตลอดไป

ที่สำคัญคือ เปิดโอกาสให้เอกชนสามารถแสวงหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องเสียภาษี ด้วยการไม่นำเข้าน้ำมันโดยตรงจากแหล่ง JDA แต่จะใช้วิธีซิกแซกโดยขายน้ำมันไปให้พ่อค้าคนกลางที่สิงคโปร์ทอดหนึ่งก่อน เพื่อบวกค่าใช้จ่ายและกำไร ก่อนส่งเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะเปิดช่องให้เอกชนหากำไรเข้ากระเป๋าใครก็ไม่รู้แล้ว แต่ที่แน่ๆ คือ คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้น โดยรัฐไม่ได้ภาษีด้วย ใช่หรือไม่

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรดำเนินการ จึงไม่ใช่การใช้มาตรา 44 แทรกแซงการตรวจสอบของ DSI หรือเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีขาออกของกรมศุลกากร ที่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับอยู่แล้ว แต่ควรจะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนปลัดกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง และบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอบสวนกระทรวงพลังงานเป็นลำดับแรก เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีในการเชิญประชุม และเสนอเรื่องนี้เข้าไปที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และถึงกับเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 เพื่อช่วยให้เอกชนที่หลีกเลี่ยงภาษีให้ไม่ต้องรับโทษ และไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอีกด้วย

การที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ออกมาใช้อำนาจในการช่วยเหลือให้บริษัทเอกชนหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีให้กับรัฐย่อมเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอย่างยิ่ง เพราะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ ทำให้ราชการเสียหาย เป็นการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยในทางมิชอบ ใช่หรือไม่

ข้าราชการที่ดีจะต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญเป็นลำดับแรก มิใช่มุ่งแต่ดูแลฝ่ายเอกชนโดยลืมไปว่าตัวเองเป็นข้าราชการ ที่กินเงินเดือนหลวง ใช่หรือไม่”






กำลังโหลดความคิดเห็น