ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ช่วงพีควงการผ้าเหลือง!! ลากไส้ “เจ้าคุณนิมิตร” สมภารวัดสวนดอก สวมสัญชาติไทย ทำเนียนมาหลายสิบปี ไล่ประวัติ ที่แท้ก็ “สายธรรมกาย” เช่นเดียวกับ “สมเด็จสมศักดิ์” ที่แบ็ก “ลัทธิจานบิน” ดองคดี “ธัมมชโย” มาตลอด หนนี้พัวพันคดีซะเอง คงไม่มีใครปัดเป่าให้
ไม่รู้เป็นเทศกาล “ผ้าเหลืองร้อน” หรือเปล่า .. ช่วงนี้อะไรไม่ดีไม่งามในพระพุทธศาสนา ค่อยๆ โดนลากไส้กันออกมาเรื่อยๆ ครั้งนี้ขึ้นไป “โซนภาคเหนือ” กันบ้าง หลังญาติโยมร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรม จ.เชียงใหม่ ขอให้ตรวจสอบ “เจ้าคุณนิมิตร” พระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ .. เพราะพบว่า ท่านเจ้าคุณ ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน ตรงกับเด็กชายชาวชัยภูมิ ที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปี 2538 .. นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลอีกว่า “เจ้าประคุณท่าน” อาจไม่ใช่คนไทย แต่เป็น “หม่อง” สัญชาติเมียนมา ทำเนียนมาหลายสิบปี .. ไปสืบเสาะแสวงหาได้ความว่า “เจ้าคุณนิมิตร” นี่จัดเป็นเกจิชื่อดังโซนบนของประเทศเลยทีเดียว .. มี พระเทพมังคลาจารย์ หรือ “อาจารย์สมาน” เจ้าอาวาสวัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็น “พระอุปัชฌาย์”..ญาติโยมแถวนั้นเล่าว่า ทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว ต่างฝ่ายต่างผลักดันให้อีกรูปได้สมณสงฆ์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง .. ขณะที่ “อาจารย์สมาน” ก็เกจิดัง โซนบนของประเทศอีกเช่นเดียวกัน ถูกยกให้เป็น “เบอร์ 1” ของเครือข่ายอาณาจักรจานบิน ในภาคเหนือ .. ถ้าจำกันได้ สมัยที่ คสช. ใช้มาตรา 44 ตรวจค้นวัดพระธรรมกาย “พระคุณทั่น” รูปนี้นี่แหละ นำพระสงฆ์ 300 รูป มาศาลากลาง จ.เชียงใหม่ กดดันให้ คสช. ยกเลิกการใช้ มาตรา 44 ปิดล้อม พร้อมกับป้ายตัวเบ้อเร่อ “ขอบิณฑบาตนายกรัฐมนตรี หยุดใช้ ม.44 รังแกชาวพุทธได้แล้ว” .. แล้วก็ไม่รู้ว่า “เจ้าประคุณท่าน” รู้เรื่องบัตรปลอมของศิษย์รักอย่าง “พระราชรัชมุนี” หรือเปล่า ตอนนี้ตามตัวไม่ได้ นิมนต์มาชี้แจงความกระจ่างทีเถอะเจ้าข้า ..
กลับมาที่กรุงเทพฯ อุณหภูมิใน “ดงขมิ้น” ร้อนไม่แพ้ภาคเหนือเลยนะจ๊ะคุณโยม .. หลายฝ่ายจับจ้องไปที่บทบาทของ “สมเด็จสมศักดิ์” สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง .. ที่ช่วงนี้มี “พระผู้ใหญ่” ในความดูแล โดนคดีความเรื่องทุจริตเงินทอนวัดกันบานตะไท .. โดยเฉพาะพระใกล้ตัว “สมเด็จท่าน” อย่าง “เจ้าคุณบุญเทียม” พระราชรัตนมุนี เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง .. ยังมี “เจ้าคุณประเทือง” พระเทพเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดกวิศวราราม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี และ พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามฯ ล้วนต่างเป็นเถระใกล้ชิดอยู่ในความดูแลสมเด็จทั่นทั้งนั้น .. ไม่รู้ว่าพอโดนพัวพัน จะดำเนินการอย่างไรต่อ ในฐานะ “พระผู้ปกครอง” เพราะก่อนหน้านี้ สมัยมีการยื่นให้วินิจฉัยอาบัติปาราชิก “ธัมมชโย” เจ้าประคุณทั่น ก็รับเรื่องไว้ แล้วหายเงียบ
เข้ากลีบเมฆ จนป่านฉะนี้ยังไม่รู้ว่า ตกลง “หัวหน้าแก๊งจานบิน” สิ้นจากความเป็นพระแล้วหรือยัง .. กังวลแทน “เจ้าคุณทั่น” ปัญหาเก่ายังไม่จบ ปัญหาใหม่มาเพิ่มแล้ว ถ้าดึงเรื่องเงียบๆ เหมือนศึกหนักครานี้ใหญ่หลวงเหลือเกิน คงต้องเตรียมรับมือคำถามจากพุทธศาสนิกชนว่า เหตุไฉนเรื่องในคณะใหญ่หนกลาง ไม่เคยได้บทสรุปเลย
** สุดท้ายก็แค่สะใจ!! ตีปิ๊บ กม. ใหม่ ขุด “คดีทักษิณ” แค่เอาใจ “ติ่ง คสช.” ตัดสินให้ตายก็ไม่กลับมารับโทษ ขนาด “ลูกโอ๊ค” ที่แค่นัดแจ้งข้อกล่าวหา ยังเตลิดไปแบบทางสะดวกแล้วด้วย
ชัดเจนนะ! “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาคอนเฟิร์มแล้วว่า พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญานักการเมือง พ.ศ. 2560 ที่เพิ่งประกาศใช้ไม่กี่วันนี้ .. นอกจากเป็นการปิดประตูไม่ให้ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับประเทศแล้ว เพราะไม่มีทางจะกลับมาอุทธรณ์คดีแน่ .. ยังตอกฝาโลง “พี่ษิณ” ทักษิณ ชินวัตร ผู้พี่อีกด้วย ก็ผลพวงกฎหมายใหม่เปิดทางให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถพิจารณา “ลับหลังจำเลย” ได้แล้วนะจ๊ะ ต่อให้ตัวไม่อยู่ .. “ซือแป๋ประจำ คสช.” ยืนยัน วิธีการพิจารณาย้อนหลังได้ ไม่ถือว่า เป็นโทษที่ย้อนหลังไม่ได้ ทีนี้คดีความของ “มิสเตอร์มอนเตเนโกร” ที่ค้างๆ คาๆ ก็นำมาปัดฝุ่นฟันกันได้เลย ..โดยเฉพาะ 4 คดี ที่ศาลฎีกาฯให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ “ทักษิณ” ไว้เป็นการชั่วคราว ประกอบด้วย 1. คดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ 2. คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจของตัวเอง และ ครอบครัว 3. คดีปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้แก่รัฐบาลพม่า เพื่อเอื้อประโยชน์สั่งซื้ออุปกรณ์จาก บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ และ บริษัทในเครือตระกูลชินวัตร และ 4. คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) .. โดยทั้งหมด 4 คดี ศาลฎีกาฯได้มีคำพิพากษาจำคุก หรือลงโทษพวกที่เกี่ยวข้องกันไปหมดแล้ว ขาดก็แต่ “หัวหน้าแก๊ง” ที่ชิ่งเอาตัวรอดไปก่อนหน้า .. คาดการณ์กันได้คร่าวๆ ว่า ถ้าอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ จะรื้อคดีขึ้นมา ผลลงเอยของ “นายห้างดูไบ” น่าจะ “เข้าซังเต” แบบไม่ต้องอุทธรณ์ให้เสียเวลา .. แต่คำถามก็มีว่า แล้วไง ทำอะไรได้ เพราะ “พ่อแม้ว” ก็เลือกไม่กลับมาประเทศอยู่แล้ว ทำไปมันก็ได้แค่ “สะใจ” กองแช่ง หรือบรรดา “ติ่ง คสช.” เท่านั้น ..ดูแล้วไม่น่าจะใช่เจตนาแท้จริงของการ “ขุด” เที่ยวล่าสุด แต่ที่ชวนสงสัย 1 ใน 4 ดังกล่าว มีอยู่คดีที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบัน คือ คดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กลุ่มกฤษดามหานคร ที่ ดีเอสไอ นัดแจ้งข้อกล่าวหาแก่ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่ไปมีเอี่ยว “เงินปากถุง” แบบหลักฐานชัดแจ้ง จนตอนนี้ มีข่าวเก็บข้าวเก็บของ เตลิดไปแบบ “ทางสะดวก” แล้วด้วยซ้ำ
** เสร็จนาไม่ฆ่าโคถึก!! “พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์” พลขับพา “ปู” หนีไร้มลทิน เหตุ ดีเอ็นเอ บนรถไม่ตรง ไม่เข้าล็อก มาตรา 157 ทั้งที่สารภาพสิ้นแล้ว แบบนี้ก็ไปว่าคนที่นินทาเรื่อง “ใบสั่ง คสช.- ดีลชินสุวรรณ” ไม่ได้นะจ๊ะ
ตกลงไม่มีคนผิด จับมือใครดมไม่ได้ ขึ้นต้นเป็นลำไผ่ เหลาไปเหลามา กลายเป็นบ้องกัญชาเสียเลี้ยววว .. หลัง “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. บอกเอาผิด พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รอง ผบก.น.5 ที่พา “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ หนีจากบ้านพักไปยังตะเข็บชายแดน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ได้ เพราะ “ดีเอ็นเอ” ในรถคัมรี่ ที่อ้างว่า พาจำเลยหนีไปทาง จ.สระแก้ว แต่ตรวจหลังเกิดเรื่องร่วมเดือน ไม่ยืนยันแน่ชัดว่า เป็นของ “หนูปู” หรือเปล่า เลยเหมือนยกประโยชน์ให้จำเลยเสียอย่างนั้น .. แล้วทำหลงลืมไปหรือเปล่า ก็ “พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์” สารภาพสิ้นพุง ว่า เป็นผู้พา “อดีตนายกฯปู” ไปส่งที่สถานีรถไฟอรัญประเทศ ด้วยตัวเอง แม้ตอนนั้นจะยังไม่ถูกศาลตัดสินมีความผิด การกระทำของ “นายตำรวจในราชการ” ก็เข้าล็อก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ที่ระบุว่า “ผู้ใดช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ต้องหาให้พ้นผิด ถือว่ามีความผิด” ทว่า “บิ๊กปู” ผู้แม่นตัวบทกฎหมายในทุกๆ เรื่อง กลับไม่เหลียวมองความผิดในข้อนี้เลย .. อย่างนี้มันก็ชัดแล้วแหละว่า เจตนาไม่ได้ตั้งใจจะล่อกันจริงๆ ทำเป็นพิธีกรรมไปงั้นๆ เพื่อลดกระแส .. แบบนี้ ที่คนในรัฐบาลบอกว่า มี “ใบสั่งพาปูหนี” ก็คงตรงกับที่คนเขานินทากันว่า “ใบสั่งบิ๊ก คสช.” น่ะแหละ ที่หลิ่วตาให้ “นาง” ไปสบาย .. ยิ่งมาล้มมวย ไม่เอาผิดคนพาหนี ทั้งที่สารภาพชัดเจน ก็คงแก้เกี้ยวอะไรกันไม่ได้ เพราะพฤติกรรมมันส่อแบบนั้น อย่างว่าแหละนะ อุตส่าห์ให้งานไปทำ อยู่ๆ จะมาจับเข้าคุกเข้าตะราง มันก็ใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย .. เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า “ชินสุวรรณ” ของเขาแรงจริงๆ
ช.ชฎา