เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเสียจังหวะไปนิดหนึ่ง หากไม่มีกรณีเหตุโศกนาฏกรรมคนร้ายกราดยิงในงานคอนเสิร์ตดนตรีคันทรีที่ลาสเวกัส ที่ทำให้คนตายกว่า 50 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 300 ราย มากลบเสียก่อน เชื่อว่า การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเที่ยวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ผู้นำเผด็จการ” คนแรกที่มาจากการรัฐประหารได้ไปเยี่ยมในห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว ต้องเป็นเรื่องโจษจันกว่านี้แน่
รับรู้กันไปแล้วว่า นี่คือ การ “ฉีกกฎ” ธรรมเนียมของ “ขาใหญ่” ที่เรียกว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” โลกเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา ที่จะไม่ข้องแวะกับผู้นำเผด็จการประเภทนี้ (ยกเว้นถ้าได้ประโยชน์คุ้มค่า) ที่ผ่านมาสหรัฐฯจะต้อนรับเฉพาะผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น (ไม่ว่าจะซื้อเสียง โกง ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เป็นไร) ส่วนผู้นำเผด็จการประเภทอื่น เช่น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ หรือผู้นำในตะวันออกกลางบางประเทศนั้น ถือว่ายกเว้นมานานแล้ว เพราะมีผลประโยชน์ด้านพลังงาน ด้านค้าอาวุธ ที่เขายกเว้นมานานหลายสิบปีมาแล้ว
สำหรับการเยือนสหรัฐอเมริกาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เที่ยวนี้ อาจประจวบเหมาะกันหลายอย่าง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีที่บังเอิญว่าไทยอยู่ในจุดที่ตั้งทางยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค และเป็นเพื่อนเก่ากันมาช้านาน ประกอบกับจีนกำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในย่านเอเชียแปซิฟิก และที่สำคัญ สหรัฐฯได้ผลัดเปลี่ยนผู้นำใหม่มาเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ชูแนวทาง “อเมริกาเฟิสต์” หรืออเมริกาต้องมาก่อน ทุกอย่างถึงได้ฉีกกฎออกไป ทุกอย่างจึงชัดเจนกันจะจะ
หากพิจารณากันแบบรวบรัดตัดความโฟกัสการเยือนสหรัฐฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเที่ยวนี้ ถือว่า “จัดใหญ่” โชว์เพาเวอร์ให้เห็นได้ไม่น้อยเหมือนกัน เรียกว่า อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี หรืออาจเป็นครั้งแรกสำหรับผู้นำไทยที่ไปเยือนสหรัฐฯ ที่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเราไปแบบ “นักลงทุน” ไป “สร้างงาน” ให้กับคนสหรัฐฯ นับหมื่นคนเลยทีเดียว และขณะเดียวกัน ไทยยังได้ขอให้สหรัฐฯแก้ปัญหาข้อติดขัดทางการค้าและการลงทุน เพื่อให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น
จากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการหารือกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ย้ำว่า ขณะนี้มีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ทั้งหมด 23 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนเพิ่มการลงทุนอีกรวม 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะสามารถสร้างงานได้มากกว่า 8,000 ตำแหน่ง จึงขอให้สหรัฐฯ สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทย พร้อมทั้งขอให้สหรัฐฯเปิดตลาดสินค้าเกษตรไทยให้มากขึ้นด้วย
นี่อาจเป็นมิติใหม่ก็ว่าได้ที่เราไปแบบเพื่อน ไปแบบนักลงทุน ที่ไปสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพวกฝรั่งอเมริกัน ไม่ใช่เป็นภาพที่ไป “แบมือขอ”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดสำหรับสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ก็คือ ไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือเน้นย้ำกับการเมืองภายในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตยจากการการเลือกตั้งเท่าใดนัก โดยที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เอ่ยปากถามผู้นำไทยเลย มีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต่างหากที่ยืนยันว่า การเลือกตั้งยังเป็นไปตามโรดแมป ไม่เลื่อนการเลือกตั้งและจะประกาศวันเลือกตั้งในปี 2561 เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าทุกอย่างคือ “อเมริกาเฟิสต์” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำไปเสนอให้เห็นทั้งการลงทุนสร้างงานให้ชาวอเมริกันนับหมื่นตำแหน่ง
รวมไปถึงเรื่องการเจรจาซื้อขายอาวุธจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมหรือไม่ ตามข่าวไม่ได้ระบุ หรือหากมีก็ต้องเป็นเรื่องลับสุดยอดที่ต้องรอให้สื่อต่างประเทศนำมารายงานก่อน
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนัก “ฉวยจังหวะ” ได้ดีไม่น้อยกับการเชิญ “อีวานกา ทรัมป์” ลูกสาวคนสวยของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาเยือนไทย ด้วยเหตุผลว่าเธอสนใจและมีบทบาทในเรื่องการต่อต้านการค้ามนุษย์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเวลานี้ หากมาจริงก็ต้องถือว่าไทยได้ประโยชน์เต็มๆ เนื่องจากเวลานี้เราก็กำลังเร่งแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวอยู่ และที่ผ่านมาก็ได้ผลเมื่อล่าสุดสหรัฐฯ ได้ลดระดับการเฝ้าจับตามองประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น หากพิจารณาจากการเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เที่ยวนี้ก็ต้องบอกว่า “จัดใหญ่” โชว์เพาฯ ให้เห็นกันแบบอึ้งกันไปทั่ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราตั้งใจไปแบบ “เพื่อน” แบบ “หุ้นส่วน” ทั้งด้านยุทธศาสตร์ภูมิภาคและเป็นนักลงทุนที่ไปสร้างงานให้ชาวอเมริกันให้อยู่ดีกินดีอีกต่างหาก ขณะเดียวกัน ยังได้สลัด “ปมในใจ” ในเรื่อง “แบล็กลิสต์” ผู้นำเผด็จการที่เคยห้ามเข้าสหรัฐฯมานานกว่า 3 ปีได้สำเร็จลงได้ แค่นี้ก็ถือว่าสุดคุ้ม นอนตาหลับแล้ว!