xs
xsm
sm
md
lg

Exclusive : “จเร” ปัดเขียนจดหมายตัดพ้อรัฐบาล ไม่โกรธถูกย้ายแม้ไม่ผิด ปลุก ขรก.ปล่อยโกงถือว่าทำร้ายชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อดีตเลขาฯ สภา แจงจดหมาย “สัจธรรมชีวิต” เขียนเป็นคติสอนใจ ขรก.รุ่นหลัง ยันถูกย้ายไม่โกรธ แค่ลาบวช 1 เดือน ปัดตัดพ้อรัฐบาล แค่ชี้ว่าคนดีก็ดี ไม่ดีก็ไม่ดี เป็นสัจธรรม ปลุก ขรก.อยู่เฉยๆ ปล่อยโกงเท่ากับทำร้ายชาติ ย้ำจุดยืนให้ความยุติธรรม เว้นถูกแทรกแซง ขอบคุณ คสช.ที่ย้ายแม้ตรวจแล้วไม่พบความผิด ไม่งั้นอาจเจอปัญหาอีกแยะ ยืนยันเป็นคนมองโลกแง่ดี



วันนี้ (26 ก.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นายจเร พันธุ์เปรื่อง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์พิเศษผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่มีจดหมาย “สัจธรรมชีวิตราชการ” ในโอกาสที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน โดยนายจเรชี้แจงว่า จดหมายดังกล่าวเขียนขึ้นในโอกาสที่ทางสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญไปร่วมงานเกษียณอายุราชการ และพิธีมอบประกาศนียบัตรและของที่ระลึกแจกข้าราชการที่จะเกษียน โดยมีหนังสือเล่มหนึ่งที่จะแจกภายในงาน ตัวหนังสือดังกล่าวมีแนวคิดที่จะให้ข้าราชการที่จะเกษียณอายุเขียนบทที่เป็นคติสอนใจน้องๆ และข้าราชการรุ่นหลังให้ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ

“ทีแรกก็ไม่ได้อยากเขียน เพราะส่วนตัวแล้วไม่มีอะไรจะบอก แต่ทางทีมงานอยากให้เขียนเพื่อให้ข้าราชการรุ่นหลังถือเป็นแนวทาง ซึ่งเขาคงเห็นว่าผมมาอยู่ตรงนี้มาอยู่เฉยๆ ให้ทำอะไรก็ทำ และไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ทางน้องๆ ข้าราชการก็เคยมาถามอยู่เหมือนกันกันว่าถูกย้ายมาที่นี่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยหรือ ไม่ทุรนทุรายเลยหรือ ผมก็บอกได้เพียงว่าหากมีอะไรให้ทำก็บอกมาแล้วกัน ยินดีทำทุกอย่าง ทางเขาก็ได้ให้ผมเขียนคติพจน์เพื่อสอนใจน้องๆ ทีแรกผมก็ถามเขาว่าสอนอะไรเขาได้ด้วยหรือ เพราะเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แค่ 2 ปีเอง”

นายจเรกล่าวต่อว่า ทีแรกจะเขียนแค่ขอบคุณสำนักปลัดฯ เท่านั้น แต่พอมาอ่านภายหลังแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไร เอาไปพูดบนเวทีดีกว่า เมื่อวานตนก็เอาไปพูดแล้วว่าขอขอบคุณสำนักปลัดที่ให้ที่สำหรับพักพิงจนได้มีโอกาสเกษียณอายุ ส่วนเนื้อหาในหนังสือที่เขียนก็เล่าให้ฟังเฉยๆ ว่า เราตั้งใจปฏิบัติงาน ตั้งแต่เริ่มรับข้าราชการ ตนเป็นลูกเกษตรกรมาจากจังหวัดเพชรบุรี พอมาอยู่ก็ตั้งใจแล้วเมื่อสอบเข้าสภาก็สอบได้ที่ 1 ตอนเข้าก็มีโอกาสมากหน่อยเพราะว่ามีอายุน้อยที่สุด พอเข้ามาก็ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และพยายามติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอดจนถึงพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ดูมาตลอด

ตอนที่ตนถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ได้ทำเรื่องลาพักร้อนไป 1 เดือนเพื่อบวชที่วัดป่า จ.สกลนคร ขอบอกว่าตนไม่เคยโกรธใคร เฉยๆ ตนถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรรม อาจเป็นเพราะเราส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถประนีประนอมหรือไม่สามารถอธิบายให้ใครเข้าใจได้ ก็คิดเท่านี้เอง

ยืนยันว่าในจดหมายนี้ไม่ได้ตัดพ้อรัฐบาลเป็นอย่างไร เพียงแต่ตนต้องการตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า คนที่ไม่ดีไม่ว่าจะมาอย่างไรก็ไม่ดี ส่วนคนที่ดีไม่ว่าจะมาอย่างไรหรืออยู่ที่ไหนมันก็เป็นคนดี มันเป็นสัจธรรม หลวงพ่อเคยสอนเอาไว้ว่า เรื่องทางโลกมันก็หมุนไปตามโลก ถ้าเราเอาจิตไปแขวนกับมัน มันก็หมุนเหวี่ยงเราไปเรื่อย เรื่องที่เขียนก็ไม่ได้โกรธใคร หรือไม่ได้คิดที่จะอะไรต่ออะไรทั้งนั้น เพียงแต่ต้องการให้กำลังใจข้าราชการว่า ถ้าคุณยอมเท่ากับคุณทำร้ายประเทศ เชื่อหรือไม่ว่าลูกชายเคยบอกว่า เวลาที่เขาอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นไหมว่าคนที่โกงแล้วข้าราชการที่อยู่เฉยๆ ก็เท่ากับโกงกับเขาด้วย ไม่ต่างกัน ลูกชายขอก็จะพูดแบบนี้อยู่เสมอ พอเรามานึกดู สิ่งที่พบเจอมาซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในระบบราชการ ในเรื่องการขอย้ายใครต่อใครและการดำเนินงานต่างๆ ตนก็พยายามที่จะอธิบาย จนมันถึงจุดหนึ่งก็มาคิดได้ว่ามันคงเป็นไปตามที่ลูกชายเคยบอก จริงๆ เป็นคนที่เฉยมากไม่ค่อยได้อธิบายอะไรกับใคร พยายามทำให้เพื่อนข้าราชการโดยเฉพาะในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าการเป็นข้าราชการควรจะเป็นอย่างไร

แล้วในฐานะที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ตนบอกตลอดว่าตนมีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง คือ 1. ต้องปกป้องเพื่อนข้าราชการ ต้องให้โอกาสและความยุติธรรมกับเขา และ 2. ต้องดำเนินการนำผู้ที่กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาบริสุทธิ์ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร และไม่เคยคิดว่าใครจะเป็นฝั่งนั้นฝั่งนี้ คิดเพียงว่าทุกคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องให้โอกาสทุกคน ตนจะยืนอยู่ในจุดนี้ตลอด แต่พอถึงเวลาแล้วารที่คนภายนอกเข้ามาดำเนินการแทรกแซง มันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องปกติ พูดจริงๆ แล้วตนต้องขอบคุณ คสช.ที่เอาตนออกมา เพราะไม่อย่างนั้นจนอาจจะต้องเจอปัญหาอีกเยอะแยะมากมาย อาจจะไม่ได้เกษียณก็ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ลบมันก็มีบวก ในแง่บวกมันก็มีลบ ตนเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากจนที่บ้านว่าพวกมองโลกใสบางทีก็น่ารำคาญ แล้วเราก็ให้กําลังใจตัวเองว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดปกติ แต่ทำไมเราถึงกลายเป็นคนผิดปกติไปได้ ตรงนี้ก็หาคำตอบลำบาก

ส่วนเรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่พบว่าตนมีความผิดตามข้อกล่าวหาที่ถูกย้ายนั้นก็ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่ก็รับทราบไป อย่าไปคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าคิดแบบนั้นทั้งชีวิตก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพียงแต่เราตั้งใจทำในสิ่งที่เราเป็นให้ดีที่สุด ส่วนที่ระบุในจดหมายเรื่องของ “คนโกง” นั้นก็ไม่ได้ว่าใคร เพียงแต่จะบอกสัจธรรมเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีการโกง หรือในอนาคตจะไม่มีการโกง หรือตอนนี้ไม่มีการโกง แต่จะมาอย่างไรจะเลือกตั้งจะแต่งตั้ง ถ้าคนไม่มีสำนึกสำนึกมันก็หายไป

ส่วนหลังจากที่เกษียณแล้วก็ตั้งใจว่าจะไปสอนหนังสือ เป็นวิทยาทาน โดยเฉพาะพระที่เรียนอยู่ในวิทยาลัยสงฆ์ เพราะว่าน่าจะเกิดประโยชน์แก่ชาวบ้านได้มากกว่า และยินดีถ้ามีนิสิตนักศึกษามาขอคำปรึกษาเวลาทำพวกวิทยานิพนธ์ ตนยินดีช่วยเสมอ เพราะทำให้คนได้รับความรู้มากขึ้น ลองคิดดูว่าสมัยตน ไม่เคยรู้ว่าเรียนจบแล้วต้องไปทางไหนต่อ แต่สมัยนี้มีมหาวิทยาลัยเยอะ คนมีโอกาสมากขึ้น และเทคนิควิธีการต่างๆ สามารถถ่ายทอดให้คนได้รับการเรียนรู้มากขึ้น ถ้าตนสามารถสนับสนุนในส่วนนี้ได้ก็น่าจะเกิดประโยชน์ โดยก่อนหน้านี้ได้เคยพูดกับทางสำนักนายกหรือสภามาแล้วว่า ถ้าจะเชิญตนไปบรรยายจนก็ยินดีไป ไม่เคยคิดว่าเป็นข้างไหน เพราะคิดไปก็ทำให้จิตเสื่อมเปล่าๆ จิตแกว่งไป

ส่วนเรื่องที่มีข้าราชการถูกย้ายในรูปแบบเดียวกันกับตนนั้นก็ว่ากันไป แต่ละคนมีวิถีและเหตุที่ต่างกัน การที่ตนถูกย้ายนั้นก็ไม่หมายความว่าจะมีข้อเท็จจริงเหมือนกับคนที่ถูกย้ายคนอื่น ก็เหมือนกับคดีในศาล แม้ว่าบางคดีจะใช้ประมวลกฎหมายฉบับเดียวกันในการตัดสิน แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ต่างกัน บางทีเราอาจจะมีส่วนผิดด้วยก็ได้ที่ทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเราเป็นคนเก่งหรือวิเศษก็อาจจะเนรมิตได้ว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่จริงๆ มันไม่ใช่ ก็พยายามมองให้เป็นกำลังใจตัวเองเพื่อที่จะยืนได้ต่อไป ตนเชื่อว่าคนดีต้องมีที่ยืน เพราะถ้าไม่มีที่ยืนแล้วจะไปไหนได้ มันต้องมีที่ยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น