ประชุม สนช.พิจารณาร่างกฎหมายฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด มี คกก.ทั้ง 22 คน จากหลายฝ่าย มีหน้าที่เสนอนโยบายแผน ห้ามใช้เครื่องพันธนาการเว้นแต่มีเหตุจำเป็นกันหลบหนี โทษ 1 ปีนำของต้องห้ามเข้าสถานพินิจ จนท.โดน 3 เท่า ก่อนลงมติรับหลักการคะแนนเอกฉันท์
วันนี้ (21 ก.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ... ที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาเสร็จแล้ว โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญเพื่อให้มีกลไกในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในเชิงบูรณาการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด จำนวน 22 คน ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 16 คน เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ เป็นต้น และอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นเลขานุการ นอกจากนี้ยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 คน ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ด้านละ 1คน ได้แก่ ด้านการคุ้มครองเด็ก ด้านการศึกษา ด้านจิตวิทยา ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านสาธารณสุข และด้านสิทธิ มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 3 ปี
โดยคณะกรรมการมีหน้าที่เสนอนโยบายและแผนในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดให้สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนต่อคณะรัฐมนตรี ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดหรือเสนอแนะแนวทาง กลยุทธ์ และมาตรการในการบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด กำหนดแนวทางดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเพื่อมิให้กลับไปกระทำผิดอีกฯ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังได้กำหนดห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานพินิจใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานพินิจ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คือ เพื่อป้องกันการหลบหนี เมื่อนำตัวเยาวชนออกมานอกสถานที่ควบคุม หรือเพื่อความปลอดภัยของเด็กหรือเยาวชนหรือบุคคล
ในกรณีที่เด็กและเยาวชนมีบุตรอายุต่ำกว่า 3 ปี ติดมาระหว่างถูกควบคุมตัวหรือรับการฝึกอบรมหรือคลอดบุตรในระหว่างรับการควบคุมตัวหรือรับการฝึกอบรม หากไม่มีผู้ใดจะเลี้ยงดูเด็กผู้อำนวยการจะอนุญาตให้บุตรของเด็กอยู่ในสถานที่ควบคุมได้เฉพาะกรณีที่จำเป็น หรือส่งบุตรนั้นไปยังหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่การสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพหรือพัฒนาฟื้นฟูเด็ก สำหรับบทกำหนดโทษนั้นกำหนดว่า ผู้นำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในสถานที่ควบคุมไม่ว่าด้วยวิธีใดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานพินิจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ต้องโทษเป็น 3 เท่า
จากนั้นได้เปิดให้สมาชิกอภิปรายโดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และได้ลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารการแก่ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. ... วาระ 1 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 177 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 21 คน