xs
xsm
sm
md
lg

เด้ง “พงศ์พร” กับหลายเรื่องสีเทา-คสช.สะสมแต้มลบรัวๆ !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา


เชื่อว่าหลายคนยังคงช็อกไม่หายและตั้งคำถามด้วยความงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้นกับการที่คณะรัฐมนตรีมีมติโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ จากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปช่วยราชการที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็โยกแบบโหดเมื่อมีคำสั่งในวันเดียวกันจาก จิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯที่ 215/2560 มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ รับผิดชอบการตรวจราชการในเขตตรวจราชการที่ 8 ครอบคลุมพื้นที่ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส

เกิดคำถามตามมาอื้ออึง ว่า การย้ายแบบนี้มันส่งเสริมความก้าวหน้ากันตรงไหน ในทางตรงข้ามนี่มัน “กระทืบ” ให้จมดินชัดๆ อีกทั้งมันเหมือนกับว่าการย้ายแบบลงโทษเที่ยวนี้เหมือนกับทำตามคำขอของ “บางคน” บางกลุ่มให้เห็นทำนองว่า “นี่ไงเชือดให้แล้ว” อะไรประมาณนั้น

ย้อนกลับไปในวันที่ 29 สิงหาคม วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักปลัดสำนักนายกฯรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ และแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และวันนั้นเองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนยืดอกยอมรับว่า “ผมเป็นผู้เสนอผลักดันเรื่องนี้เอง” ความหมายก็คงต้องการใช้เครดิตของตัวเองมาการันตี และ “ดับอุณหภูมิร้อน” และข้อสงสัยว่าทำไมถึงต้อง “เด้ง” พ.ต.ท.พงศ์พร พ้นออกไปจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยอ้างว่าย้ายไปที่ใหม่นั้นมีความก้าวหน้ากว่าเดิม บางคนมีเส้นทางราชการไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก็มี 
        
ดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวชาวบ้านส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยและมองออกไม่ยากว่ามันต้องมีเรื่อง “ไม่ชอบมาพากล” ถึงสาเหตุการโยกย้ายครั้งนี้แน่นอน

หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ถึงการทำหน้าที่ของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ คนนี้ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถูกจดจำในเรื่องการทำหน้าเป็น “มือปราบเงินทอนวัด” หรือการปราบปรามเกี่ยวกับการทุจริตในสำนักงาน พศ. ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในวงการพระสงฆ์ ซึ่งการตรวจสอบกำลังจะลากเอา “พระเถระ” บางรูปที่ใช้อิทธิพลในตำแหน่งหน้าที่หากิน และมีเครือข่ายซับซ้อนกว้างขวาง จนถึงขั้นขู่ที่จะคว่ำบาตรกับสำนักพระพุทธศาสนา และเลยเถิดไปถึงรัฐบาล หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จาก พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นคนอื่น ซึ่งที่ผ่านมาพระสงฆ์รูปนี้ก็เผยหน้าเผยตาออกมาให้เห็นแล้วว่าเป็นพระรูปใด

ต่อมา วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ก็ยืนยันถึงอำนาจในการโยกย้ายไปช่วยราชการสำนักปลัดสำนักนายกฯหลังจากที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ จะออกมาโต้แย้งคำสั่งที่ย้ำว่าเขายังเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา หลังจากไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่ง อีกทั้งการขอให้ไปช่วยราชการครั้งนี้ไม่ได้รับการยินยอมพร้อมใจจากเจ้าตัว

แม้ว่าในที่สุดแล้ว พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ คงไม่อาจขัดขืนอะไรได้ คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมืองที่เหนือกว่า แต่คำถามก็คือ “นี่คือความชอบธรรมแล้วหรือ” มีความเหมาะสมแล้วหรือ และยิ่งเหตุผลของ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ยอมรับในทำนองว่าสาเหตุที่ต้องย้ายเขาออกไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาต้องได้รับความไว้วางใจจากเถระสมาคม”
 
แต่คำถามก็คือ พระเถระรูปไหนที่ไม่ไว้ใจ หากประพฤติมิชอบ มันก็ไม่สมควรไปเกรงใจไม่ใช่หรือ ตรงกันข้ามการปราบปรามทุจริตก็ต้องเด็ดขาดไม่ต้องประนีประนอมไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือวงการไหน

ดังนั้น การโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ คราวนี้ ถือว่าทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาลงไปมาก

ขณะเดียวกัน ยังมีหลายเรื่องที่มีลักษณะ “สีเทา” เกิดขึ้นซ้อนๆ ตามกันมา เช่น ความพยายามในการออกพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์วัดธรรมิการามวรวิหาร ให้มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของ นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา พศ. ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า นี่คือ การ “นิรโทษกรรม” ให้กับผู้ที่ทำความผิดทั้งหมด โดยเฉพาะมีผลบวกกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่กำลังต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ด้วย เมื่อกฎหมายนี้ออกมา เพราะหากกฎหมายออกมาภายหลังเป็นคุณก็สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้ เป็นการ “ฟอกคนผิด” บิดเบือนเจตนารมณ์ตามพินัยกรรมของคนที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนายกที่ดินให้กับวัด แบบไม่สิ้นสุด ยังดีที่ถูกจับพิรุธได้เสียก่อน เรื่องจึง “เก็บเงียบไว้ชั่วคราว”

หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างเขื่อน “สตึงนัม” ในกัมพูชา ที่ดำเนินการผลักดันโดยกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จำนวน 24 เมกะวัตต์ ที่อ้างว่าเพื่อผันน้ำไปใช้ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก มูลค่าโครงการกว่า 9 พันล้านบาท (ไม่นับโครงการต่อเนื่องอีกนับแสนล้านบาท) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามันไม่ชอบมาพากล นอกจากในเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าในราคาแพงโดยเบื้องต้นจะขายไฟให้ไทยหน่วยละ 10.75 บาท ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่ง “เบรกเอาไว้ชั่วคราว” ก่อนที่จะเดินทางไปเยือนกัมพูชาและร่วมประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา แบบไม่เป็นทางการครั้งที่ 4 เมื่อสัปดาห์ก่อน

กรณีกระทรวงมหาดไทยการอนุญาตให้บริษัทเอกชน (บ.ลูกของบริษัทกระทิงแดง) ใช้พื้นที่ป่าชุมชน จำนวน 31 ไร่ ในพื้นที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เข้าทำประโยชน์ โดยมีการอ้างถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย ว่า มีการอนุมัติเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ซึ่งทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากมีเสียงคัดค้านจากชาวบ้านมากขึ้น

หรือแม้แต่การหลบหนีหมายจับของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากคดีรับจำนำข้าว ก็ถูกมองว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รับผิดชอบดูแลความมั่นคง “เปิดทางให้หนี”

หลายเรื่องดังกล่าวมาล้วนเป็นการ “สะสมแต้มลบ” แบบรัวๆ ทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าหากประเมินกันตามความเป็นจริงแล้วยังคงไม่อาจทำให้พวกเขาต้อง “ล้มครืน” โดยพลัน แต่หากยังสะสมไปแบบนี้เรื่อยๆมันก็น่าเป็นห่วง เพราะอย่าลืมว่า “จุดอ่อน” ของรัฐบาลนี้คือ “เรื่องปากท้อง” ที่เสียงชาวบ้านเริ่มโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ บางทีไม่แน่หาก “ป็อก” ขึ้นมาสักเรื่องก็จบเห่ง่ายๆ ได้เหมือนกัน อย่าประมาทเป็นอันขาด !!
กำลังโหลดความคิดเห็น