xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” สัญจรอีสานมีความหมาย-คสช.เครียดเข้มไม่ให้ขยับ!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา



จะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างต้องการเอาตัวรอด ในที่นี้ย่อมหมายถึงทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ รัฐบาล ที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในเวลานี้ กับอีกฝ่าย คือ ครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของพวกเขาที่ตอนนี้จำเป็นต้องดิ้นเอาตัวรอดให้ได้

หากจะเริ่มพิจารณาก็น่าจะเริ่มจากฝ่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ก่อน นาทีนี้ต้องยอมรับความจริง ว่า กำลังอยู่ในภาวะตั้งรับ เนื่องจากไม่ได้ถืออำนาจรัฐในมือ ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่ฝ่ายตรงข้าม คือ รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจพิเศษที่เบ็ดเสร็จมันก็ยิ่งขยับลำบาก แต่อย่างไรก็ดี ในเมื่อระดับ “หัวใจ” สำคัญในครอบครัวกำลังลำบากมันก็ต้องเสี่ยง

หากพิจารณาตามตารางเวลาก็ต้องบอกว่า วันที่ 25 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ ถือว่าสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นวันชี้ชะตาชีวิต หรือชี้อนาคตก็ว่าได้ เพราะวันนั้นจะได้รู้กันว่าคำพิพากษาในคดีที่เธอตกเป็นจำเลยฐานปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายกับโครงการรับจำนำข้าว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะชี้ขาดออกมาแบบไหน คุกหรือไม่คุก วันนั้นก็จะรู้กัน

อย่างไรก็ดี ในเมื่อมีความเสี่ยงสูงเป็นไปได้ทั้งสองทาง มันก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดให้ได้ แม้ว่าถ้ามองในแง่ดีโอกาสรอดก็ยังดี แต่ขณะเดียวกัน หากออกมาอีกทางหนึ่งมันก็ยุ่ง ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เริ่มได้เห็นความเคลื่อนไหวของมวลชนในเครือข่ายของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าจับตา ก็คือ มีทั้งมาแบบใต้ดินสร้างกระแสความไม่พอใจ ประเภทฝ่ายรัฐใช้อำนาจ “อุ้มหาย” เช่น กรณีปล่อยข่าว “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ มีการอ้างรายงานเป็นตุเป็นตะว่าถูกชายชุดดำนับสิบคนข้ามฝั่งจากไทยไปอุ้มถึงฝั่งลาว ความหมายที่ต้องการสื่อให้เห็น ก็คือ โกตี๋ ถูกอำนาจมืดจากเจ้าหน้าที่รัฐ “อุ้มฆ่า” ตายแล้ว

แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจริงหรือไม่จริง แต่คำถามก็คือหากเป็นจริงทำไมฝ่ายรัฐถึงได้ “ฉลาดน้อย” เลือกเวลาลงมือเอาในช่วงเวลาแบบนี้ อีกทั้งคำถามก็คือ โกตี๋คนนี้มันมีความสำคัญระดับ “โคน” หรือ “ม้า” เลยหรือ อาจจะเถียงว่าเพื่อหวังสร้างความโกรธแค้นให้กับพวกแดงฮาร์ดคอร์ ก็อาจจะใช่ แต่มันจะสร้างอารมณ์ร่วมแบบนั้นได้มากแค่ไหน เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบกับ วัฒนา เมืองสุข ที่กำลังเคลื่อนไหวป่วนรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ในเวลานี้ คนหลังนี่แหละน่าจับตากว่า และมีระดับกว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะชี้ช่องให้ทำ เพราะวิธีการแบบนี้มัน “เถื่อนถ่อย” เกินไป และเชื่อว่าคงไม่มีใครทำ เพราะมันไร้ประโยชน์

ดังนั้น ถึงได้บอกว่าข่าวอุ้มโกตี๋ มันทะแม่งพิกล แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าการเคลื่อนไหวปลุกระดมแบบใต้ดินก็มีผสมโรงอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ในทางบนดินที่เป็นการเคลื่อนไหวแบบเปิดเผย มีการระบุตัวตนผ่านเครือข่ายคนสำคัญ อย่างกรณีของ วัฒนา เมืองสุข ที่มีการให้สัมภาษณ์และใช้สื่อโซเชียลประกาศท้าทายรัฐ ยืนยันไปให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ศาลอ่านคำพิพากษา ซึ่งหากพิจารณากันโดยเผินๆ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะการเดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษาย่อมทำได้ หากมีการขออนุญาต ทำตามขั้นตอนตามระเบียบถูกต้อง หรือไม่ได้ละเมิดอำนาจศาล แต่ขณะเดียวกัน มันมีนัยแอบแฝงอยู่เหมือนกับว่าเป็นการชี้นำมวลชนสำหรับเดินทางไปในวันดังกล่าว

ในมุมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมา ก็ถือว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการเดินสายไปในพื้นที่ภาคอีสาน ที่เป็นฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทยของพวกเธอมากขึ้น อีกทั้งยังมีการโพสต์ข้อความลงในโซเชียลเรียกร้องถามหาความยุติธรรมจากศาลจากการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เนื่องจากเห็นว่าการพิจารณาของศาลฎีกาฯมิชอบ แม้ว่าต่อมาศาลจะยกคำร้อง แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการดิ้นรนทุกทาง

เมื่อหันมาทางฝ่ายรัฐบาล รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดูเหมือนจะ “ซีเรียส” อยู่ไม่น้อย ซึ่งหากพิจารณาจากอาการแบบนี้ มันก็เหมือนกับว่าได้เห็นสัญญาณการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ย้ำว่า “ยังไม่ปลดล็อก” ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองในช่วงนี้ โดยให้เหตุผลว่ายังพบความเคลื่อนไหวที่ “ไม่ปกติ” อยู่ แม้ว่าจะพูดแบบทีเล่นทีจริงว่า “รอให้ผมสบายก่อน” ความหมายก็คือเวลานี้มันไม่น่าสบายใจนัก

ในช่วงเวลาเดียวกัน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีคำสั่งปิดสถานทีโทรทัศน์ช่องพีซทีวี ของบริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด เป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาของบางรายการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พร้อมๆ กับการที่ตำรวจเริ่มดำเนินคดีกับพวกเจ้าของรถตู้จำนวน 21 คันที่อ้างว่าขนคนมาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา ช่วงวันแถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีรับจำนำข้าว

ความหมายโดยรวมก็คือ รัฐบาล และ คสช. ยังมีความคุมเข้ม ไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามขยับเป็นอันขาด ยิ่งในภาวะแบบที่ว่ารัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มอยู่ในภาวะถดถอยกว่าเดิม ความเชื่อมั่นไม่เหมือนเก่า มันก็ยิ่งเข้มเอาไว้ก่อน ซึ่งก็คงลากยาวไปอีกช่วงหนึ่ง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาแย้มล่าสุดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ว่า “จะปลดล็อก” หลังจากผ่านพระราชพิธีสำคัญในเดือนตุลาคมไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ต้องมาพิจารณาอีกทีหนึ่งว่าจะอยู่ในระดับไหน แต่ตอนนี้ต้องเข้มเอาไว้ก่อน

แต่สิ่งที่น่าจับตามองอีกเรื่องที่น่าจะเชื่อมโยงกันในทางการเมือง ก็คือ กำหนดการในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดนครราชสีมาในวันที่ 21 - 22 สิงหาคมนี้ หากพิจารณาจากวันที่มันก็เกิดขึ้นก่อนวันนัดฟังพิพากษาคดีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 25 สิงหาคม ห่างกันแค่ไม่กี่วัน และที่สำคัญ ในเชิงพื้นทีก็น่าสนใจเพราะเป็นภาคอีสาน เหมือนกับการไปเยี่ยมปลอบขวัญชาวบ้านหลังเดือดร้อนจากน้ำท่วมและที่สำคัญในฐานะ “ลูกอีสาน” มันก็ย่อมมีลูกอ้อนได้น้ำได้เนื้อเหมือนกัน อย่างน้อยกับมวลชน มีผลในเชิงจิตวิทยาได้เหมือนกัน

อีกด้านหนึ่งมันก็มองได้เหมือนกันว่าเป็นการเปิดเกมรุมออกไป “บล็อก” เอาไว้ก่อน พร้อมคำพูดอออดอ้อนให้อยู่กับที่หรือเปลี่ยนใจให้กลับมาร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อสร้างอนาคตใหม่ดีกว่าอะไรแบบนี้หรือเปล่า !!
กำลังโหลดความคิดเห็น