นายกรัฐมนตรี เผย “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รับสั่งทรงห่วงผู้ประสบภัย ให้ช่วยเหลือรวดเร็ว ทั่วถึง ทำให้ชาติมีสุข จัดระเบียบ สร้างวินัย สร้างอุดมการณ์ รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี หามาตรการรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ให้คนไทยมีความรู้จริงจัง ส่งเสริมงานจิตอาสา ให้ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ให้ ขรก. เป็นแม่แบบ ขยายสิ่งที่รัชกาลที่ ๙ ทรงทำไว้ นำแนวทางพระราชดำริขับเคลื่อน จัดสถานที่วางดอกไม้จันทน์ให้พสกนิกรได้วางด้วยมือตัวเอง
วันนี้ (8 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการส่วนพระองค์ เป็นการถวายรายงานการทำงานของรัฐบาลตามห้วงระยะเวลา ตนเองได้ถวายรายงานในทุกๆ เรื่อง ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ ปัญหาอุทกภัย และการช่วยเหลือ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง ประกอบด้วย 1. ทรงมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงรับสั่งให้ช่วยเหลือตามมาตรการต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว และทั่วถึง ลดภาระการซ้ำซ้อน สิ่งใดที่สถาบันจะช่วยได้ก็จะทรงพระราชทานความช่วยเหลือมาให้อย่างที่ทรงทำในปัจจุบัน นอกจากนี้ ทรงรับสั่งให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเป็นแต่ละพื้นที่ไป ถ้ายังไม่สามารถดำเนินการภาพรวมใหญ่ๆ ทั้งหมดได้ ก็ให้ทยอยดำเนินการไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนได้กราบบังคมทูลอธิบายถวายให้ทรงทราบแล้วว่ารัฐบาลกำลังมีโครงการต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงริเริ่มไว้มาหลาย 10 ปี บางโครงการก็ยังไม่สำเร็จ หรือยังไม่ครบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำ แต่อยู่ที่ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดิน หรือพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งในวันที่ 9 ส.ค.ตนจะหารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำในเรื่องดังกล่าวว่าจะต้องทำอะไรให้เกิดขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ซึ่งอาจจะต้องมีการเวณคืนที่ดินกันหรือไม่ หรือจำเป็นต้องเช่าพื้นที่เอกชนเพื่อเก็บกักน้ำให้ได้อย่างแท้จริง วันนี้ถ้าเราปล่อยให้น้ำท่วมถึงเวลาก็ไปเยียวยาก็ต้องไปดูในภาพรวม ว่า ในพื้นที่ดังกล่าวประชาชนมีรายได้อย่างไร ปลูกพืชปีละกี่ครั้ง และปริมาณน้ำท่วมเท่าไร ก็จะต้องไปหารือว่าจะใช้เป็นพื้นที่เก็บน้ำเลยได้หรือไม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องที่ 2 ทรงมีรับสั่ง คือ ขอให้ทำให้ประเทศชาติ และประชาชนมีความสุข ซึ่งทรงย้ำเสมอทั้งเรื่องการช่วยเหลือ การบรรเทา การจัดระเบียบ การสร้างวินัย สร้างอุดมการณ์ ทรงรับสั่งว่าให้ทำทุกมาตรการอย่างต่อเนื่อง 3. ให้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาลในส่วนที่ดีงาม มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทำให้นักท่องเที่ยวได้พบเห็นและชื่นชม ขอให้รักษาไว้ให้ได้ 4. ทรงรับสั่งถึงภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ อาทิ ภัยคุกคามในรูปแบบเก่า อธิปไตย ซึ่งวันนี้ก็น้อยละ มีเฉพาะเรื่องของการรักษาทรัพยากรทั้งบนผืนแผ่นดิน และ ผืนน้ำ ที่เป็นอาณาเขตของประเทศไทย จำเป็นต้องมีกำลังไว้ดูแลรักษา และทรงเป็นห่วงในเรื่องของภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ต้องเตรียมมาตรการรองรับไว้ให้เป็นสากล ไม่เช่นนั้น สิ่งที่เกิดในประเทศอื่นก็จะมามีอิทธิพลต่อประเทศไทย อยู่ที่คนไทยทุกคนจะร่วมมือกัน
5. ทรงรับสั่งให้เร่งดูแลระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันเรามีการปฏิรูปกันอยู่มากพอสมควร เพื่อเร่งกระบวนการเรียนรู้ให้คนไทยมีความรู้อย่างจริงจัง ทำงานได้สามารถที่จะมีอาชีพมั่นคง มีความเข้มแข็ง และมีหลักคิดที่ถูกต้องในทุกๆ เรื่อง จะได้ลดความขัดแย้ง 6. ทรงรับสั่งให้ช่วยกันส่งเสริมงานจิตอาสา ซึ่งตนได้สั่งการในที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้ โดยนำแนวกระแสรับสั่งให้กระทรวงมหาดไทยไปจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครขึ้นมาในการดูแลพื้นที่ ดูแลความมั่นคง และในกิจการต่างๆ ลักษณะเป็นจิตอาสา หรือทำกิจการสาธารณะ เพราะบางอย่างถ้ารอข้าราชการทำฝ่ายเดียวไม่ทัน เพราะต้องผ่านกลไก และขั้นตอนต่างๆ แต่ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือโดยจิตอาสาก็จะเกิดขึ้นได้เร็ว ภาระต่างๆ การใช้จ่ายงบประมาณก็จะลดลง จะได้นำงบประมาณไปทำอย่างอื่น
7. ทรงรับสั่งในเรื่องการดูแลประชาชนให้ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างทรงขอว่าให้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ ให้มีหลักฐานที่ชัดเจน ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมให้ได้ 8. ข้าราชการทุกหมู่เหล่า หรือส่วนราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการฝ่ายใดก็ตาม ขอให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง เป็นแม่แบบให้กับประชาชน ให้เกิดความเคารพศรัทธา และเชื่อมั่นในการทำงาน จะได้เกิดความร่วมมือ ลดผลกระทบระหว่างกันให้ได้ในการบังคับใช้กฎหมาย
9. เรื่องสำคัญที่สุด คือ ทรงเสียใจในการสูญเสีย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และคนไทยทั้งประเทศก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งว่าขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจขยายสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทำไว้อย่างมากมายให้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ซึ่งพระองค์ท่านทรงพระราชทานแนวทางไว้เป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงได้รับการสั่งสอนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ไข เพราะท่านทรงตรัสว่า “เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่สมเด็จพ่อได้ทรงทำไว้” ขณะเดียวกัน ก็ทรงให้นึกถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในรัชกาลที่ ๙ ด้วย พระองค์ท่านได้พระราชทานสิ่งต่างๆ ไว้มากมายให้แก่ประเทศไทย ขอให้นำแนวทางพระราชดำริของทั้งสองพระองค์ไปขับเคลื่อน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะสนับสนุนและส่งเสริม สถาบันฯ ก็จะช่วยเหลือรัฐบาลในการทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนไปพร้อมๆ กัน มีอะไรขอให้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
“สิ่งเหล่านี้ผมได้นำความต่างๆ มาให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบ เพื่อสนองแนวพระราโชบาย สนองพระราชกระแสรับสั่ง ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และโชคดีที่ประเทศไทยมีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานต่อพระราชปณิธานของรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ต่อไป ขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันรักษาต่อไป และขอให้ใช้การสูญเสียในครั้งนี้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไปในสิ่งที่ดีกว่าเดิม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ได้มีการเตรียมการ มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่าอยากให้ประชาชนในทุกพื้นที่ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในการวางดอกไม้จันทน์ แต่ทั้งหมดคงมาที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ ขอให้จัดสถานที่ในการวางดอกไม้จันทน์ในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสวางด้วยมือของตัวเองอย่างทั่วถึง ตนได้สั่งการในที่ประชุม ครม.วันนี้ไปแล้ว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อพวกเราทุกคน