เลขาฯ สมช.ชี้การปล่อยข่าว “โกตี๋” ถูกเก็บ เพื่อสร้างกระแส ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อ ย้อนในกลุ่มแตกแยกกันเอง หวังโยนบาปรัฐ เผยลาวยังไม่ยืนยันว่าตาย ยังติดตามอยู่ รมว.กต.ช่วยย้ำ เชื่อเป็นการปล่อยข่าว หวังให้เกิดกระแสในสังคม
วันนี้ (1 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกระแสข่าวชายชุดดำอุ้มนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ คนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ที่หลบหนีเข้าไปอยู่ในประเทศลาว ว่านายวุฒิพงศ์อาจจะหลบไปเฉยๆ เพื่อสร้างกระแสข่าวรัฐบาลจะต้องพิสูจน์ทราบต่อไป โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า เป็นสิ่งที่ยากว่า อยู่ดีๆ หายตัวไปแล้วนำมาอ้าง คนอ้างสามารถอ้างได้หลายเรื่องเพื่อต้องการสร้างให้เป็นข่าวขึ้นมา ส่วนภาพอุปกรณ์ที่ใช้ในการอุ้มครั้งนี้ที่ออกมาทางโซเชียลมีเดียนั้น สามารถเอามาจากตรงไหนก็ได้ ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณ อย่าไปหลงเชื่อ เพราะสามารถสร้างภาพได้ทุกรูปแบบ
“ในกลุ่มเคลื่อนไหวของโกตี๋เองมีความแตกแยกกันเองอยู่ด้วย จึงเป็นไปได้หลายสาเหตุที่ต้องสร้างข่าวออกมา เพื่อต้องการที่จะสร้างให้เห็นภาพว่า เป็นการกระทำของรัฐ ที่ผ่านมาเราได้แต่เฝ้าระวังติดตาม ผมได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะประสานกับทาง สปป.ลาว ให้ส่งตัวโกตี๋กลับมา แต่การทำอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่เป็นผลดีแน่นอน” พล.อ.ทวีปกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการข่าวนายวุฒิพงศ์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พล.อ.ทวีปกล่าวว่า ยังติดตามอยู่ และทาง สปป.ลาว ยังไม่ได้ยืนยันว่านายวุฒิพงศ์ยังอยู่ใน สปป.ลาวหรือไม่ นายวุฒิพงศ์อาจจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้ ดังนั้นเราต้องคอยติดตามวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ
เมื่อถามว่า ถ้ามองว่าเป็นการสร้างข่าวทางกลุ่มนายวุฒิพงศ์หวังผลอะไร พล.อ.ทวีปกล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่มีอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทำให้มีกระแส สร้างความปั่นป่วน และการแสดงความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความปรองดองที่รัฐบาลกำลังทำออกมา เพื่อต้องการสร้างให้เกิดผลกระทบต่อทางฝ่ายรัฐตลอดเวลา ตนจึงขอให้ประชาชนวิเคราะห์และพิจารณาอย่างรอบคอบ อะไรที่ออกมาช่วงนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อประเทศ เราจึงต้องช่วยกันระวัง
ด้านนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีเดียวกัน ว่ายังไม่ได้รับรายงาน เชื่อว่าเป็นการปล่อยข่าว เพื่ออะไรบางอย่าง และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวมาโดยตลอดว่าโกตี๋ไม่ได้อยู่ในประเทศลาว ดังนั้นจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นไปในลักษณะของการปล่อยข่าว มากกว่าจะเป็นความจริง โดยต้องการให้เกิดของกระแสขึ้นในสังคม และช่วงนี้ก็มีข่าวในลักษณะดังกล่าวจำนวนมาก โดยมีการปล่อยข่าวสารพัด