“ประยุทธ์” ปาฐกถาพิเศษว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติ ชูโรดแมปแก้ทุกปัญหา ฝากต่างชาติเข้าใจรัฐกำลังทำอะไร ขออย่ากังวล ยันต้องพัฒนาไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำ มุ่งยุติความขัดแย้ง วางรากฐานระยะยาว ยก 3 เสาหลักด้านสิทธิ เผยออกกฎเพื่อไม่ให้ละเมิด ทำกฎหมายตามเสียงส่วนใหญ่ พร้อมรับฟังทุกส่วน บอกเป็นนายกฯ มา 3 ปี ดูแผนแต่ไม่มีระบุใครทำ รับเป็นจำเลยทุกเรื่องอยู่แล้ว
วันนี้ (31 พ.ค.) ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม” ในการเปิดสัมมนาวิชาการเพื่อเผยแพร่ และขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจ และสิทธิมนุษยชน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีที่มายืนตรงนี้ ที่ได้มาพูดคุยในเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ เรื่องธุรกิจและสิทธิมนุษยชน โดยอย่าคำนึงว่าจะเปิดงานก่อนหรือหลังใคร แต่ต้องขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยวันนี้รัฐบาลพยายามทำความเข้าใจกับต่างประเทศว่ารัฐบาลมีโรดแมปในการแก้ทุกปัญหา จึงฝากต่างประเทศให้เข้าใจว่าวันนี้เรากำลังทำอะไร อยู่ในสถานการณ์อะไร และฝากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในการช่วยซึ่งกันและกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เพียงเรื่องความถูกต้อง หรือศีลธรรมเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสนำประเทศสู่ความมั่งคั่งควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนหมายถึงการมีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี มีการยอมรับให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน และได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม โดยรัฐบาล เจ้าหน้าที่ และประชาชน ถือเป็นห่วงโซ่เดียวกัน โดยมี กสม.คอยดูแล ทั้งนี้ขออย่ากังวลตน และรัฐบาลที่มายืนตรงนี้แม้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงสภาวะการณ์ไม่ปกติ แม้วันนี้จะดูปกติแต่ต้องพัฒนาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดิมขึ้นมาอีก มุ่งมั่นยุติความขัดแย้ง วางรากฐานพัฒนาประเทศระยะยาว และดูแลด้านสิทธิมนุษยชนให้ยั่งยืน โดยรัฐบาลยืนยันความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนและเดินหน้าด้านสิทธิมนุษยชน โดยยึด 3 เสาหลัก คือ เสาหลักด้านการคุ้มครอง ด้านการเคารพ และด้านการเยียวยา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการมากมายเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน แม้ช่วงที่ผ่านมามีปัญหามากมายทั้งในด้านการโปร่งใส ความมีธรรมาภิบาล แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่คนที่ต้องมีหลักการในการขับเคลื่อน อย่างไรก็ตาม หลายกฎหมายออกมาได้ในรัฐบาลนี้ เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายเรื่องค้ามนุษย์ ที่ถือเป็นผลงานรัฐบาลในช่วง 3 ปี จึงขอให้มองการแก้ปัญหาทั้งระบบ อย่ามองเพียงว่ารายได้ดีขึ้น กฎหมายที่ออกมานั้นไม่ได้รีบออก แต่เป็นการรับฟังความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย แม้จะยังมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนเห็นชอบหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ และเคารพเสียงส่วนน้อย ถือเป็นหลักการประชาธิปไตย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ระดับทวิภาคี และต้องมองแบบพหุภาคี นอกจากความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนแล้วต้องแสวงหาความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชนด้วย โดยต้องเจริญเติบโตจากภายใน หรือการระเบิดจากข้างใน ซึ่งไม่เกี่ยวกับเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วันนี้ขออย่าเอาหลายอย่างมาพันกัน ส่วนที่ดีมีอยู่บ้าง ส่วนที่ไม่ดีก็ต้องแก้ไข แต่อย่าเอาส่วนที่ไม่ดีมาตีกับสิ่งที่เรากำลังทำ โดยวันนี้เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และปฏิรูปประเทศ หากเอาแต่ความขัดแย้งขึ้นมาพูดก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้องค่อยๆ แก้ปัญหา และเดินไปข้างหน้า ทั้งเรื่องความปรองดองและสมานฉันท์ ถ้าขัดแย้งทั้งหมดก็ไปไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันและช่วยรัฐบาล รัฐบาลได้กำหนดและคิดไว้แล้วว่าจะทำอะไรอย่างไร ต้องมองปัญหาให้ขาดและกำหนดช่วงระยะเวลาเดินหน้าโรดแมป โดยมีเข็มทิศนำทาง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า รัฐบาลให้ความคุ้มครองบุคคลที่เป็นเหยื่อ รวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ และให้ความสนใจการประเมินจากต่างประเทศด้วย ยืนยันว่ารับฟังทุกส่วน และสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็เป็นผลงาน 3 ปีของรัฐบาล แม้จะทำไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเราไม่สามารถพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ หรือพลิกฝ่ามือ ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะปัญหามีความซับซ้อน
“ตั้งแต่ผมเป็นนายกฯ มา 3 ปี ดูแผนทุกอันแต่ไม่เห็นมีเขียนระบุว่าใครเป็นคนทำอะไร ไม่เหมือนแผนของทหารที่กำหนดชัดเจน ดังนั้นเราต้องดูเป้าหมายของประเทศว่า จะเดินไปไหน เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่ติดไปทั้งหมดแล้วบอกว่าปฏิรูปไม่ได้แล้วใครรับผิดชอบ ก็ “ประยุทธ์” คนเดียวอีก ซึ่งผมเป็นจำเลยทุกเรื่องอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงทุกเรื่องก็ย่อมมีคนขัดแย้ง แต่ทำอย่างไรจะไปด้วยกันได้ และวันนี้ทุกอย่างปนเปไปหมด แต่ขออย่ากังวลผม ขอยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปิดสัมมนาดังกล่าว นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยได้เดินลงบันไดเลื่อนกลับขึ้นรถไปยังทำเนียบรัฐบาลทันที