xs
xsm
sm
md
lg

รบ.ปลื้มร้านประชารัฐสุขใจ เป็นที่นิยมยอดพุ่ง จ่อยกระดับธุรกิจผ่าน E-commerce

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

(แฟ้มภาพ)
รัฐบาลเผยร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้

วันนี้ (28 พ.ค.) รัฐบาลได้ดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน หรือร้านประชารัฐสุขใจ จำนวน 148 แห่งทั่วประเทศมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2559 เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าโอทอปของชุมชน และให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยวในท้องถิ่น พบว่าได้รับความสนใจจากประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 มียอดจำหน่ายตั้งแต่ เม.ย.-ธ.ค.รวมทั้งสิ้น 18,727,727.50 บาท เฉลี่ย 40,648.14 บาทต่อเดือน มีวิสาหกิจชุมชนได้รับประโยชน์กว่า 16,000 ชุมชน

“ส่วนในปีนี้เพียง 5 เดือน มียอดจำหน่ายรวมแล้วกว่า 12,290,000 บาท ตั้งเป้าทั้งปีสร้างรายได้ 50 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ อาหารแปรรูป ผักผลไม้ออแกนิก และของใช้ของฝากจากชุมชนแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวร้านประชารัฐสุขใจใน กทม.ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่เปิดจำหน่ายสินค้านั้น ความจริงรัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนทั่วประเทศทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด มีโอกาสซื้อหาและจำหน่ายสินค้าของท้องถิ่นได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่จากการตรวจสอบพบว่าคน กทม.มีทางเลือกในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากกว่าในต่างจังหวัด ทำให้บางร้านมียอดจำหน่ายน้อย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ เช่น จ.สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สระบุรี รวมทั้งมีแผนจะยกระดับธุรกิจของร้านทั้งหมดโดยนำระบบขายหน้าร้าน (Point of Sale) มาช่วยในการเก็บข้อมูลการขายและการจ่ายเงิน และผลักดันสินค้าเข้าสู่ระบบตลาด E-commerce ให้ประชาชนสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”

โดยในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กรมการพัฒนาชุมชน ฯลฯ ให้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน และชี้แจงทำความเข้าใจข้อเท็จจริงต่อสังคมอย่างต่อเนื่องด้วย

ทั้งนี้ ร้านประชารัฐสุขใจเป็นโครงการภายใต้มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล มีที่ตั้งอยู่ในปั๊ม ปตท.ในภาคเหนือ 34 แห่ง ภาคกลาง 36 แห่ง ภาคตะวันออก 14 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 37 แห่ง และภาคใต้ 27 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะคัดสรรสินค้าโอทอปเด่นของจังหวัด ทั้งอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าที่ระลึก ของใช้ของฝาก ของใช้ในครัวเรือนมาวางจำหน่าย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ซึ่งมีปริมาณมากในขณะนี้ โดยระหว่างวันที่ 3-11 มิ.ย. 60 จ.จันทบุรีกำหนดจัดงาน “มหานครผลไม้ภาคตะวันออก ประจำปี 2560” มีกิจกรรมการประกวดผลไม้ การจำหน่ายสินค้าโอท็อปของดีเมืองจันท์และสินค้าอุปโภคบริโภค มหกรรมบุฟเฟต์ผลไม้ นิทรรศการนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศจำนวนมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น