ป้อมพระสุเมรุ
ยังลุยต่อเนื่องกับปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการหลีกเลี่ยงภาษีนำดข้ารถยนต์หรู-ซูเปอร์คาร์ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ล่าสุดเมื่อ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้นำหมายค้นจากศาลอาญาเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 6 แห่ง อาทิ โชว์รูมภายในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และโชว์รูมรถที่อาคารมิลเลเนี่ยม ออโต้ ย่านพระราม 3 เป็นต้น และสามารถอายัดรถยนต์เพิ่มเติมได้อีก 38 คัน ล้วนแล้วแต่เป็นยี่ห้อดังๆระดับไฮเอนด์ทั้งสิ้น ทั้งมาเซอราติ (Maserati) โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royse) แอสตัน มาร์ติน (Aston Martin) แมคลาเรน (McLAREN) และเฟอรารี่ (Ferrari)
ปฏิบัติการรอบใหม่นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายผลการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายของ “บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด” รวม 9 จุด ก่อนหน้าแค่สัปดาห์เดียว เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีจุดสำคัญอยู่ที่สำนักงานใหญ่บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ถ.พระราม 9 (เลียบทางด่วนมอเตอร์เวย์) และโชว์รูมภายในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ซึ่งครั้งนั้นได้อายัดรถยนต์หรูและซูเปอร์คาร์ที่ต้องสงสัยว่าชำระภาษีไม่ครบถ้วน ไว้มากถึง 122 คัน ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อลัมบอร์กินี (Lamborghini) และเฟอร์รารี (Ferrari)
กระทั่งเมื่อวันที่ 20 พ.ค. เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ต.อ ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ ได้แถลงภาพรวมผลปฏิบัติการของวันที่ 19 พ.ค. ในลักษณะเปิดโปงขบวนการนำเข้ารถหรูเลี่ยงภาษี และระบุมูลค่าความเสียหายของภาครัฐจากการเก็บภาษีไม่ครบถ้วนของรถยนต์ 122 คันดังกล่าวอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท เฉลี่ยรถแต่ละคันจะชำระภาษีขาด 10-18 ล้านบาทต่อคันเลยทีเดียว
“หากนับย้อนหลังกลับไป 5 ปี คิดว่าจะมีซูเปอร์คาร์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดนี้กว่า 10,000 คัน เฉลี่ยแล้วรัฐบาลจะสูญเสียรายได้นับหมื่นล้านบาท” พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุไว้ในการแถลงข่าว
ก่อนไล่เลียงถึง “ลูกไม้” ของขบวนการนี้ หรือ “แผนประทุษกรรม” ที่ทางดีเอสไอเรียก โดยระบุว่า ได้ประสานความร่วมมือกับ “ตำรวจสากลอิตาลี” ในการสืบสวนหาราคาซื้อ-ขายที่แท้จริง และนำมาเปรียบเทียบกับราคาขายในเมืองไทย โดยพบว่าผู้ประกอบการหลายรายสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริงต่อกรมศุลกากร แต่ละคันจะสำแดงราคาเท็จไม่เกิน 40% ของราคาจริง แต่อาจจะใช้ช่องทางการนำเข้าที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่าง รถลัมบอร์กินี 1 คัน ราคาจากประเทศอิตาลี 286,000 ยูโร (ราว 12 ล้านบาท) เมื่อมาถึงประเทศไทยมีขบวนการจัดทำเอกสารสำแดงราคาเป็น 105,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 3.4 ล้านบาท) ต้องเสียภาษี 328% (ราว 11 ล้านบาท) หากคำนวณภาษีตามราคาจริงรถคันนี้จะมีราคาตั้งต้นอยู่ที่ 12 ล้านบาทเศษ แต่แจ้งแค่ 3.4 ล้านบาท หากคำนวณตามราคาตั้งต้นจะต้องเสียภาษีไม่ต่ำกว่า 41 ล้านบาท เท่ากับว่ารถคันนี้ชำระภาษีขาดไปจำนวน 30 ล้านบาท และนอกจากความไม่ถูกต้องเรื่องภาษีแล้ว ยังมีอีกหลายคันที่เป็นรถยนต์ที่ถูกขโมยมาจากต่างประเทศด้วย
โดยดีเอสไอประกาศด้วยว่า จะตรวจสอบย้อนหลังขบวนการนำเข้ารถยนต์ทุกกลุ่ม เพื่อเรียกเก็บภาษีคืนรัฐให้ครบถ้วน จึงนำมาซึ่งปฏิบัติการรอบใหม่ เมื่อ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการขยายเป้าจากเครือข่ายสำคัญอย่าง “นิชคาร์กรุ๊ป” ไปสู่กลุ่มอื่น
ทั้งนี้ “แผนประทุษกรรม” ที่ดีเอสไอนำมาเปิดเผยนั้น ก็เป็น “ทริกเดิมๆ” ของวงการ “เกรย์มาร์เก็ต” หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ผู้นำเข้าอิสระ” หากแต่ความเป็นจริงรถยนต์ที่เรียกกันคุ้นปากว่า “รถเกรย์” นั้นนอกจากราคาที่ถูกกว่า “รถศูนย์” แล้ว ยังหมายรวมไปถึง “สีเทา” ที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสเท่าไหร่ด้วย
ไม่กี่ปีก่อนก็เคยมีการระดมกวาดล้าง “ตลาดรถเกรย์มาร์เกต” ในประเทศไทยครั้งใหญ่ไปแล้ว รถที่ติดคดีในคราวนั้นหลายคัน ไม่มีผู้ไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ จนถูกขายทอดตลาดไปก็มาก ส่วนในทางคดีนั้นดีเอสไอที่รับเป็นคดีพิเศษก็ได้ส่งเรื่องไปที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ “ข้าราชการระดับสูงของกรมศุลกากร” หลายราย
น่าแปลกใจว่า “นิชคาร์กรุ๊ป” ซึ่งมีชื่ออยู่ในการกวาดล้างครั้งนั้น และอยู่ในการตรวจสอบของ สตง.และ ป.ป.ช.ด้วย กลับมีกิจการที่ทะยานติดลมบนต่อเนื่อง มีการจัดงานเปิดตัวรถซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ๆที่นำเข้าจากต่างประเทศไม่เว้นแต่ละเดือน ทั้งการประกาศความยิ่งใหญ่ โดยการเป็นเจ้าของโชว์รูมซูเปอร์คาร์-สปอร์ตคาร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
รวมทั้งยังได้ถือสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของหลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทั้ง “Lamborghini - McLaren” ที่ถูกอายัดในการตรวจค้นรอบใหม่นี้หลายสิบคันด้วย
ความยิ่งใหญ่ของ “นิชคาร์กรุ๊ป” ส่งผลให้ “เศรษฐีกระเป๋าหนักเมืองไทย” ที่เป็นลูกค้าต้องฉงนสนเท่ห์ ว่าเหตุไฉน?? ถึง “งานเข้า” ห้างดังแห่งนี้ เพราะพฤติกรรมของ “นิชคาร์กรุ๊ป” ก็ยังคงเป็นไปตาม “แผนประทุษกรรม” ที่ดีเอสไอว่าไว้ แต่ก็เหมือนเป็นเรื่องปกติ ในลักษณะ “ละไว้ในฐานที่เข้าใจ” ว่า เป็นเรื่องธรรมดาของวงการนี้ อีกทั้งต้องมี “เส้นสายใหญ่พอตัว” ถึงรอดพ้นการถูกดำเนินการทางกฎหมายมาตลอด
เอาแค่ความเคลื่อนไหวภายใน “นิชคาร์กรุ๊ป” ที่วงการไฮโซ-ไฮซ้อรู้จักกันดีว่าเป็นของ เสรี รักษ์วิทย์ เจ้าพ่อซูเปอร์คาร์เมืองไทย ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “ชินบารมี” ได้ไม่นาน ปัจจุบันโดดขึ้นไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษา ส่งต่อกิจการให้ทายาทอย่าง “เสี่ยแชมป์” วิทวัส ชินบารมี” ออกหน้าบริหารงานแทน ก็ออกไปในทางเกรย์ๆ สีเทาๆ มาโดยตลอด
โดบบริษัทในเครืออย่างบริษัท นิชคาร์ จำกัด และบริษัท จูบิไลน์ จำกัด ที่อยู่สำนวนสอบสวนของ สตง.และ ป.ป.ช.ก็มีการยักย้ายผ่องถ่ายหุ้นที่ดูจะไม่ค่อยปกติ โดยใน บริษัท จูบิไลน์ จำกัด นั้น “เสี่ยแชมป์-วิทวัส” ยังมีชื่อถือหุ้นใหญ่อยู่ แต่ในส่วนบริษัท นิชคาร์ จำกัด ได้ถอนหุ้นออกจนเกลี้ยง ตั้งแต่ปี 2558 และมีชื่อ น.ส.ศิริพรรณ บุญประกอบ ที่ถือหุ้นอยู่ถึง 99.9% แต่ “พ่อลูกชินบารมี” ก็ยังออกหน้าในฐานะเจ้าของ-ผู้บริหารมาจนถึงตอนนี้
สำนักข่าวอิศรายังเคยรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่ามีการระงับการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีของ บริษัท นิชคาร์ จำกัด ที่ถูกกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรตรวจสอบการเสียภาษีอากร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 56 จนถึงเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 59 รวม 9 ครั้ง ตลอดจนยอดสรุปงบดุลบริษัทที่มียอดรายได้ปีละเป็น “พันๆ ล้าน” สวนทางกับ “กำไรสุทธิ” ที่แจ้งไว้ในแต่ละบริษัทแค่ปีละ 1-2 ล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งอีกไม่นานดีเอสไอคงจะออกหมายเรียก “ผู้บริหารนิชคาร์กรุ๊ป” มารับทราบข้อกล่าวหา ในทางกลับกัน
จนถึงขณะนี้ก็มีเพียงรายงานข่าวอ้างคำพูดของ วิทวัส ชินบารมี ที่ยืนยันว่าบริษัทฯ เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายทุกบาท และเตรียมแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ปรากฎตัวต่อสาธารณะ
น่าสนใจที่ว่า ธุรกิจสีเทาค่อนไปทางสีดำเช่นนี้ กลับยังไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมาย ทั้งที่ถูกตั้งเรื่องสอบสวนมาเป็นเวลาหลายปี ย่อมการันตีว่า “เส้นใหญ่” ไม่น้อย สอดคล้องเสียงลือเสียงเล่าในวงการที่มักมีการ “แอบอ้าง” ชื่อ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา ว่า เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ “นิชคาร์กรุ๊ป”
เป็น “บิ๊กกี่” ผู้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการเป็น ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่มีตำแหน่งไม่เป็นทางการเป็น เพื่อนซี้เตรียมทหารรุ่น (ตท.6) ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช.
การที่จู่ๆ มาถูกดีเอสไอลุยถอนรากถอนโคนเช่นนี้ จึงทำให้คนในวงการพากันสงสัยว่าไป “เหยียบตาปลา” ใครเข้าให้ เพื่อจัดระเบียบผลประโยชน์ให้ลงตัว
หรือบางทีอาจเป็นความตั้งใจจริงในการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายของรัฐบาล คสช.ก็เป็นได้