ข่าวปนคน คนปนข่าว
ล้อมคอกกันเข้าไป.. ผลพวงเหตุลอบวางระเบิดใน“โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า”ทำเอาหน่วยงานด้านความมั่นคง ยกระดับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ต่างๆ เหมือน “ลูปเดิมๆ” เวลาเกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ๆ ... ที่ผู้คนสงสัยก็ข้อบกพร่อง “ด้านการข่าว” ที่ฝ่ายรัฐไม่ระแคะระคายก่อนเกิดเหตุบ้างเลยหรือ ยิ่งประจานความไม่เอาอ่าวของ “งานด้านความมั่นคง” ไล่ตั้งแต่ปลายด้ามขวาน จนมาถึงใจกลางเมือง - เขตนครบาล ... ยิ่ง 3 จุด ที่มีเหตุระเบิดล่าสุดใน กทม. “กองสลากเก่า” ก็บน ถ.ราชดำเนิน “โรงละครแห่งชาติ”ก็ขอบรั้วชิดสนามหลวง “รพ.พระมงกุฎฯ” ก็อยู่ ถ.ราชวิถี ล้วนแต่เป็น “พื้นที่สำคัญ” ที่ไม่น่าปล่อยให้เกิดเหตุใกล้เคียงวินาศกรรมเช่นนี้ได้ ... เมื่อถูกตัดสินว่างานด้านการข่าว - ด้านความมั่นคงของรัฐบาล คสช. ห่วยเหลือเกิน
ยิ่งเมื่อวานนี้ (24 พ.ค.) ที่ศาลทหารกรุงเทพ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้องคดี”ผู้ต้องหา 17 คน ซึ่งเคยถูกจับ และกล่าวหาว่าเป็น“แนวร่วมขบวนการใต้ดิน” หลังจากเหตุวินาศกรรมหลายจุดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ เมื่อเดือน ส.ค.59 ก็ยิ่งเป็นข้อยืนยันถึง“ความมั่วซั่ว - สะเปะสะปะ”ของงานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจน ... ตัดกลับมาที่เหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ พอมีคำถามเรื่องการข่าว หรือการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ก็มีข่าวออกมาจาก “แหล่งข่าวตำรวจ” ทันที ว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. (ก่อนวันเกิดเหตุ 3 วัน) มีจดหมายถึงผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ถ.พระราม 6 อ้างว่า เป็นคำเตือนจาก“ขบวนการ BRN IS”ระบุว่า ภายในปีนี้ จะมีก่อการร้ายภายใน “โรงพยาบาลของรัฐแถวนี้ 3 แห่ง” ก่อนที่ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ด้านความมั่นคง จะออกมารับลูก บอกว่า“จดหมายลึกลับ”มีจริง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้น้ำหนัก มีเพียงไปเฝ้าระวังที่ รพ. อื่น ทั้ง“รพ.พระมงกุฎฯ”กับ“ส.มะเร็งแห่งชาติ”น่าจะถือว่าอยู่ในละแวกเดียวกัน ... เอากับเขาสิ
รอดูวันนี้ (25 พ.ค.) ที่มีข่าวว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง ที่ช่วง 3 - 4 วันมานี้ มีข่าวไม่สู้ดีนัก ล้มป่วยค่อนข้างหนัก ต้องไปรักษาตัวเมืองนอก จะกลับเข้าประจำการทำงานตามปกติ ... การคลี่คลายเหตุระเบิด รพ.พระมงกุฎฯ รวมทั้งการเฝ้าระวังป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นอีก จะเป็นบทพิสูจน์น้ำยาของ“กระบี่มือหนึ่งงานความมั่นคง”ที่ 3 ปีมานี้ ผลงานด้านความมั่นคง หรือผลประโยชน์ต่อส่วนรวม“สอบตก”แบบหมดสิทธิ์อุทธรณ์
แหกโค้งไปก่อนใครเพื่อน “ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ” ที่ถูกเด้งดึ๋งจาก ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งตบยุงเป็น ผู้ตรวจการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วดึง “วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ขึ้นมาเป็นปลัดฯแทน ... ท่ามกลางกระแสข่าวที่หลายกระทรวงเตรียมเปลี่ยนแปลงข้าราชการระดับสูง อย่างที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ดร.ฝน” ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ก็มีข่าวว่ากำลังจะเซย์กูดบายจากตำแหน่งหลังวันพืชมงคล แต่ก็ยังเหนียวแน่นหนึบอยู่ ...
ฟ้าดันมาผ่าเปรี้ยงที่ “ชาญเชาวน์”อดีตข้าราชการดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งยุค ที่เคยต้องซอยเท้ารอขึ้นชั้นเบอร์ 1 กระทรวงตราชั่ง อยู่นานสองนาน จนได้มาลืมตาอ้าปากในยุค คสช. ก่อนจะโดน คสช. สอยร่วง ด้วยข้ออ้างที่สุดแสนจะดูดีว่า“นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกใจในความสามารถ เลยขอตัวมาช่วยงานการปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการปฏิรูปตำรวจ ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึๆ โธ่ถังกะละมังหม้อ งานที่อ้างๆ มานั่งคร่อมเป็นปลัดกระทรวงก็ทำได้ ขณะที่เจ้าตัวเองที่คงช็อกไม่น้อย เมื่อถูกปลดกลางอากาศ ในขณะติดพันภารกิจอยู่ที่ประเทศออสเตรีย เดาว่า งานนี้ไม่จบง่ายๆ จากที่ได้ฟังสุ้มเสียงผ่านคนใกล้ชิด น่าจะมีงานเอาคืน เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองตามมา รอเพียงคลื่นลมสงบซักนิด ... อย่าลืมว่า การย้าย “ชาญเชาวน์” ครั้งนี้ใช้เพียง “มติ ครม.” ไม่ได้ใช้ “มาตรา 44” เหมือนกรณีอื่นก่อนหน้าที่จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ... เห็นมีการวิเคราะห์ต่างๆ นานา ถึงตื้นลึกหนาบาง การปลด “ปลัดยุติธรรม” บ้างก็ว่าเป็นเพราะเคยต้องคดี - มีโทษร่วมกับ“ธาริต เพ็งดิษฐ์” เกี่ยวกับการแต่งตั้งภายในดีเอสไอ แต่โทษก็แค่ให้รอลงอาญา ถ้าเอากันเรื่องนี้จริง คงปลดนานแล้ว ... และ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง ความผิดแค่รอลงอาญา ไม่ถือเป็นความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ …
ที่น่าจะพอฟังได้ คงเป็นเรื่องปัญหาการทำงานที่เป็น“ข้าราชการสายแข็ง” ไม่ค่อยยอมใคร นี่ต่างหากที่ทำให้โดนเขี่ยพ้นทาง ... เรื่องปลดก็เรื่องหนึ่ง เรื่องคนมาแทนนี่ก็น่าสนใจไม่น้อย ไล่เรียงประวัติ “ปลัดวิศิษฏ์”ที่แม้เป็นอาวุโสอันดับ 1 ก็จริง แต่เส้นทางไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเติบโตในยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ - ชัยเกษม นิติสิริ เป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรม ...ในขณะที่คสช. ใช้กระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหอกในภารกิจหลายๆ เรื่อง ระวังจะเข้าทำนอง “ไส้ศึกหนึ่งคน มีค่ามากกว่า กำลังพลนับแสน” หนึ่งในวรรคทองจากมหากาพย์สามก๊ก นะท่านนะ
ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นโชว์รูมเครือ "นิชคาร์กรุ๊ป" ที่มี “เหตุอันควรสงสัย” ว่า เป็นขบวนการนำเข้า “รถหรู - ซูเปอร์คาร์เลี่ยงภาษี”ก่อนจะอายัดรถยนต์ยี่ห้อดัง มูลค่าคันละหลายล้านไว้ถึง 122 คัน ... ให้หลังหนึ่งวัน มีการแถลงข่าวเรื่องนี้ โดย พ.ต.อ ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดยุติธรรม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ชำแหละขบวนการเลี่ยงภาษีไว้อย่างไม่มีชิ้นดี เฉพาะที่อายัดไว้ทำให้รัฐเสียหายจากการเก็บภาษีไม่น้อยกว่า 2.4 พันล้านบาท ด้วย “ทริกเดิมๆ” ในวงการ “เกรย์มาร์เก็ต” ที่มักมีพฤติกรรม “สำแดงราคาเท็จ”ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก แต่ก็มักผ่าน “พิธีการศุลกากร” อยู่ร่ำไปเช่นกัน …ซึ่งจริงๆ ไม่กี่ปีก่อนก็มีการระดมกวาดล้าง“ตลาดรถเกรย์มาร์เก็ต”ครั้งใหญ่ไปแล้ว ทาง ดีเอสไอ เองก็ได้ส่งเรื่องไปที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ“ข้าราชการระดับสูงของกรมศุลกากร”หลายราย
ขณะที่ บริษัท นิชคาร์ จำกัด ก็คือ 1 ใน 2 บริษัท ที่ถูกตรวจสอบอยู่ ขณะที่อีกแห่ง คือ บริษัท จูบิไลน์ จำกัด ก็อยู่ในเครือ “นิชคาร์กรุ๊ป” ที่วงการไฮโซ - ไฮซ้อ รู้จักกันดีว่าเป็นของ เสรี รักษ์วิทย์ เจ้าพ่อซูเปอร์คาร์เมืองไทย ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุล “ชินบารมี”ได้ไม่นาน ปัจจุบันโดดขึ้นไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษา ส่งต่อกิจการให้ทายาทอย่าง “แชมป์ -วิทวัส ชินบารมี” ออกหน้าบริหารงานแทน ... แต่ที่น่าสนใจ คือ หุ้นบริษัทในเครือ “นิชคาร์กรุ๊ป” ของ “2 พ่อลูกชินบารมี”นั้น ยังมีอยู่ในบริษัทใหญ่ คือ “บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด” ขณะที่ในบริษัทลูก มีการผ่องถ่ายออกไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยใน บจ.จูบิไลน์ “แชมป์ - วิทวัส” ยังมีชื่อถือหุ้นใหญ่อยู่ แต่ในส่วน บจ.นิชคาร์ ได้ถอนหุ้นออกจนเกลี้ยง ตั้งแต่ปี 2558 มีชื่อ น.ส.ศิริพรรณ บุญประกอบ ที่ถือหุ้นอยู่ถึง 99.9% แต่ “แชมป์ - วิทวัส” ก็ยังออกหน้าในฐานะเจ้าของ - ผู้บริหาร มาจนถึงตอนนี้
น่าสนใจอีกว่า ในระหว่างที่มีการตรวจสอบจาก สตง. อยู่นั้น กิจการของ “นิชคาร์กรุ๊ป” กลับทะยานติดลมบนต่อเนื่อง ทั้งการประกาศเป็นเจ้าของโชว์รูมซูเปอร์คาร์-สปอร์ตคาร์ ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังได้ถือสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทั้ง “Lamborghini - McLaren”อย่างต่อเนื่อง และตลกร้ายที่ว่า รถส่วนใหญ่ที่ถูกอายัดงวดนี้เป็น Lamborghiniเสียด้วย ... ความยิ่งใหญ่ของ “นิชคาร์” ส่งผลให้เศรษฐีกระเป๋าหนักเมืองไทยแทบทุกราย ต้องเคยมาเป็นลูกค้า ทำให้มียอดรายได้สะพัดปีละเป็น“พันๆ ล้าน”แต่สวนทางกับ “กำไรสุทธิ” ที่แจ้งไว้ในแต่ละบริษัท แค่ปีละ 1 - 2 ล้านบาท
การอยู่ยั้งยืนยงของบริษัท ที่ทั้ง“ดีเอสไอ - สตง.”มีข้อมูลว่าดำเนินธุรกิจออกไปทางสีเทาค่อนไปทางสีดำ แต่ยังไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายเช่นนี้ ย่อมการันตีว่า“เส้นใหญ่”พอตัว สอดคล้องเสียงลือเสียงเล่าใน “วงการไฮโซ” ที่มักมีการ “แอบอ้าง” ชื่อ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิก สปท. เตรียมทหารรุ่น (ตท.6) เพื่อนซี้“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. ว่า เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ “นิชคาร์กรุ๊ป” … พอถูก “ดีเอสไอ” บุกอายัดรถรอบนี้ คนในวงการก็พากันสงสัยว่าไปเหยียบตาปลาใครเข้าให้ หรืออาจจะเป็นความตั้งใจจริงในการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายก็ได้ ใครจะรู้ ??.
ช.ชฎา