ข่าวปนคน คนปนข่าว
เคยฮาท้องคัดท้องแข็งกับมุกเสียดสีที่ว่า“วงจรปิดเมืองไทย ใช้ได้ทุกจุด เว้นจุดเกิดเหตุ” …แต่พอมีข่าวว่า CCTV วงจรปิดของ“โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ”อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุระเบิดใกล้ “ห้องวงษ์สุวรรณ”เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา พังไปถึง 9 ตัว จาก 13 ตัว ก็ได้แต่หัวเราะหึ หึ … ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อมูลจากกล้องวงจรปิด ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ หรือกระทั่งภาพจากกล้องวงจรปิด ตัวที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งน่าจะพอปะติดปะต่อเส้นทาง - พฤติกรรม “บุคคลต้องสงสัย”ได้ไม่มากก็น้อย แต่อาจจะเป็นลูกไม้“สับขาหลอก”ที่หวังให้“คนร้ายตายใจ”แบบที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเหตุการณ์ระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ ก็เป็นได้ ... ทำให้ตอนนี้มี“หลักฐานเด็ด”แค่ภาพถ่ายขมุกขมัว ที่ถ่ายไว้โดย “พลเมืองดี”ก่อนเกิดเหตุราว 5 นาที โดยมีสิ่งแปลกปลอมคือ“แจกันดอกไม้”ที่เจ้าหน้าที่ รพ. พูดตรงกันว่า ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ตรงนั้นมาก่อน พร้อมด้วย“ผู้ต้องสงสัย”ประกอบฉากอีก 2 - 3 ราย
เมื่อมั่นใจว่าเป็นการวางระเบิดของ“ผู้ไม่ประสงค์ดี”แต่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ตลอดทั้งวันหลังเกิดเหตุ จึงเป็นคิวของ“กูรู - กูรู้”ทั้งใน “สภากาแฟ - สังคมออนไลน์”ที่พากันวิเคราะห์ถึงผู้ที่เข้าข่าย“ผู้ลงมือ - ผู้บงการ”รวมทั้งเบื้องลึก - เบื้องหลัง “มูลเหตุจูงใจ”ในการก่อวินาศกรรมใน “โรงพยาบาลทหาร” อย่างไร้มนุษยธรรม ... สรุปคร่าวๆ มี 5 กลุ่ม ที่ผ่านเข้ารอบ ตั้งแต่ 1. “เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์”ที่ต้องการสร้างสถานการณ์บั่นทอดความเชื่อมั่นรัฐบาล คสช. 2. “คนมีสี - ทหารอกหัก”ที่ถูกกดตัวในช่วง คสช. เรืองอำนาจ หรือกระทั่งพวกที่หมั่นไส้รัฐบาลทหาร 3. “กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้”ขยายพื้นที่ก่อเหตุเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาล 4. ของขวัญจาก“มหาอำนาจ - นักเลงโลก”สั่งสอน ที่ไทยหันไปซบอกขั้วมหาอำนาจอื่น กระทั่ง 5. “แนวร่วมหรือทีมงาน คสช.” จัดเอง ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ปูทาง“รัฐบาลทหาร”อยู่ยาวๆ … คาดการณ์กันมาประมาณนี้ น้ำหนักในแต่ละข้อ อาจจะลดหลั่น - แตกต่างกันไป ยากที่จะฟันธงว่า แท้จริงแล้วใครกันที่เล่นเกมเสี่ยง เลือกเป้าหมายก่อเหตุที่แสนจะละเอียดอ่อน จนมีแต่เสียงก่นด่าขรมเมือง
มองอย่างไร้อคติก็เป็นไปได้ทุกทาง เหมือนอย่างที่ “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บอกว่า กลุ่มที่ต้องสงสัย มีหลายกลุ่มด้วยกัน … แต่ถ้ามองอย่าง“อคติ”แล้ว คนคงรุมชี้นิ้วไปที่ “กลุ่มแรก”ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ“คู่ขัดแย้งเบอร์หนึ่ง”ได้ใกล้เคียงที่สุด ... วิเคราะห์ได้ตั้งแต่ “ไทม์มิ่ง”เลือกก่อเหตุวันครบรอบ 3 ปี รัฐประหาร คสช. พร้อม “แสดงสัญลักษณ์”มุ่งไปที่หน้า“ห้องวงษ์สุวรรณ”แน่นอนว่า ต้องการลูบคม“พี่ใหญ่ คสช.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ความมั่นคง เลือกเป้าใหญ่ชกไปที่ “ขาใหญ่แห่งยุค” ตลอดจนการก่อเหตุด้วย “ไปป์บอมบ์”ที่มี “กลิ่นอาย - ลายเซ็น” ของคนร้ายที่ “คนในวงการ”ต่างชี้ว่า คล้าย หรือเป็นขบวนการเดียวกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ ทั้งที่ “หน้ากองสลากเก่า”และ“โรงละครแห่งชาติ”ทั้งเรื่องอุปกรณ์ก่อเหตุ และความพยายามในการแสดง“นัยยะ”บางประการ
แต่ก็มีมุมที่ “ย้อนแย้ง”อยู่บ้าง เพราะในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ และ คสช. กำลังเดินตามโรดแมป ระยะสุดท้าย ซึ่งก็มีการพูดเรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้า ในช่วงเดือน ส.ค. 61 หรืออย่างมากก็ไม่เกินช่วงปลายปี 61 ดังนั้น “ทักษิณ”หรือ “คนเสื้อแดง”ก็ไม่น่าจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเป็น“ข้ออ้าง”ให้การเลือกตั้งต้องยืดออกไป เพื่อที่จะใช้คูหาเลือกตั้งตะกายกลับเข้าวังวนอำนาจให้เร็วที่สุด ... หากแต่ก็ดูเบา “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์”ที่บางส่วนไม่ฟังอีร้า ค่าอีรม ท่องขึ้นใจว่า เกลียดทหาร - เกลียด คสช. จึงถือโอกาสฤกษ์ดีวันครบรอบ 22 พ.ค. ใช้ความเป็น“แก๊งใต้ดิน”ปฏิบัติการตบหน้า คสช. ด้วยประเมินแล้วว่า รัฐบาลทหาร ยากที่จะผละมือจากอำนาจในเร็ววัน ... อย่างน้อยก็ทำให้ คสช. เสียหน้า ดีไม่ดีอาจได้ “สองเด้ง”มีอุบัติเหตุแทรกซ้อน จน“ยักษ์ คสช.”ล้มตึงไปเลยก็เป็นได้
แล้วถ้าเป็นฝีมือ“แดงฮาร์ดคอร์”จริง ก็คงโทษใครไม่ได้นอกเสียจาก ตัว “บิ๊กป้อม” หัวหน้าทีมความมั่นคงของรัฐบาล ที่ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ไม่เด็ดขาดในการกำราบกลุ่มการเมืองต่างๆ หวังที่จะ “ซื้อใจ”เพื่อปลุกปั้นบรรยากาศปรองดอง พร้อมทั้ง“สร้างบารมีตัวเอง”ในการประสานขุมข่ายการเมืองต่างๆ ออกไปในทาง“เกี้ยเซียะ”เพื่อให้ทางสะดวก ในระหว่างที่ตัวเองมีอำนาจ หรือกระทั่งการสืบต่ออำนาจในอนาคต จึงจะเห็นได้ว่า ตลอด 3 ปี คสช. ที่ว่ากันว่า มีการกวาดล้างคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงปลาซิว - ปลาสร้อย หรือบุคคลมีชื่อที่อยู่หน้าฉาก แต่สำหรับ “ฮาร์ดคอร์ตัวจริง”ยังอยู่ดีมีสุขทั้งในและต่างประเทศ ... พล็อตเรื่องก็คล้ายๆ กับนิทานอีสป “ชาวนากับงูเห่า” นั่นแล
แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็คงตัดคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกกลางคันคงไม่ได้ แน่นอนว่า “ทักษิณ” ย่อมอยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ตามสัญญาณที่ส่งลิ่วล้อ หรือน้องสาว “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมากระตุ้นรัฐบาล คสช. เป็นระยะ ผนวกกับข่าวไล่เทกโอเวอร์พรรคการเมืองอื่น ที่ถูกจับได้ไล่ทันไปแล้ว ... ยิ่งในสถานการณ์ “คสช. ขาลง - เรตติ้งลุงตู่ตก” แบบนี้ สู้อยู่เฉยๆ การเมืองนิ่งๆ นับนิ้วให้ถึงวันเลือกตั้ง โอกาสเข้ากุมอำนาจ หรือเพิ่มราคาต่อรองกับ คสช. ในอนาคตอันใกล้ก็มีมากโข ... แต่ก็ดันมี “ปัจจัยเร่ง” อย่างคดีความต่างๆ ที่กำลังจะถูกเช็กบิล โดยเฉพาะ“คนในตระกูลชินวัตร”ที่มีชนักปักหลังกันทั่วหน้า ไม่ใช่แค่คดีจำนำข้าวของ “หนูปู” ที่มีช่องให้ยื้อไปอีกหลายยก ที่สุดหากถูกตัดสินว่าผิด ทั้งในทางอาญา หรือถูกอายัดทรัพย์สิน เพื่อชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ก็ไม่ยาก แค่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปซุกหัวอยู่กับพี่ชายที่ต่างแดน ... คดีที่เป็น “ปัจจัยเร่งระดับ 4G” คือ “คดีกรุงไทย”ที่มี “โอ๊คอ๊าค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ของทักษิณ ที่มีข่าวหนาหูว่าคืบหน้าไปมาก จนตอนนี้ “ลูกโอ๊ค” ใกล้ถูกจับคอพาดเขียง “ดีเอสไอ”ตั้งแท่นเตรียมสรุปฟ้องฉกรรจ์อย่าง“รับของโจร - ฟอกเงิน”แม้โทษไม่หนัก แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต …เมื่อภัยจะมาถึงลูกรัก อาจทำให้ “พ่อแม้ว”หน้ามืด เล่นเกมเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดถึงอย่างที่สงสัยกันอยู่ก็เป็นได้
ช.ชฎา