เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าตามขั้นตอนทางกฎหมายยังพอมีเวลาอีกระยะสำหรับการตั้งข้อหาฟอกเงิน กับ อนันต์ อัศวโภคิน อภิมหาเศรษฐีอันดับต้นในประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้ เพราะตามขั้นตอน ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นัดหมายให้มารับทราบข้อหาดังกล่าวในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ซึ่งเขาสามารถยื้อเวลาโดยการขอผ่อนผันโดยอ้างจำเป็นอีกสักครั้ง แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะเดินทางมาตามนัดในวันดังกล่าวเลยก็ได้
แน่นอนว่า สำหรับ อนันต์ อัศวโภคิน เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ และที่ผ่านมา ติดอันดับรวยหุ้นระดับท็อปไฟว์ทุกปี ถือว่าร่ำรวยมหาศาล แต่ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา เขาก็ถือว่า เป็น “ศิษย์เอก” ของ “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมคบและร่วมกันฟอกเงิน และถูกออกหมายจับและหลบหนีคดีมาจนถึงขณะนี้
จากการเป็นศิษย์เอกดังกล่าว รวมไปถึงการเกี่ยวพันกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนนำไปสู่การตั้งข้อหาเดียวกัน ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ซึ่งตามมาตรา 5 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตามเส้นทางความผิดที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แกะรอยไป พบว่า ไปเชื่อมโยงกับการซื้อขายที่ดินกับศิษย์เอกอีกคนหนึ่งของ ธัมมชโย คือ ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ที่ปัจจุบันนี้กำลังถูกดำเนินคดีในหลายข้อหา เช่น ฉ้อโกง ยักยอกเงินฝากของสมาชิกกว่า 13,000 ล้านบาท และกำลังถูกจำคุกในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่ต้นปี 2558 โดยมีโทษจำคุก 16 ปี และยังมีอีกหลายคดีกำลังอยู่ในชั้นศาลซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
จากการแถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พอสรุปได้ว่า อนันต์ อัศวโภคิน เป็นคนกลางรับซื้อที่ดินที่ ศุภชัย ศรีศุภอักษร ยักยอกเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง แล้วนำมาขายต่อให้ อนันต์ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และที่สำคัญ มีการตรวจสอบพบว่าไม่มีการซื้อขายจริง
ตามข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ศุภชัย ได้สั่งจ่ายเช็คหลายฉบับจำนวนรวมประมาณ 275 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด และซื้อที่ดินของบริษัท 3 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 31344 เนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 56.2 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ใกล้กับวัดพระธรรมกาย
หลังจากนั้น ก็ได้นำที่ดิน 3 แปลงนี้ ขายให้ อนันต์ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งได้ทำสัญญาซื้อขาย ณ สำนักงานที่ดินอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ภายหลังจากที่คณะกรรมการมีมติเพียง 2 วัน ในราคาไร่ละ 2 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 93,781,000 บาท ซึ่งราคาประเมินที่ดินขณะนั้นราคาตารางวาละ 15,000 บาท คิดเป็นราคาที่ดินประมาณ 281 ล้านบาท มีความแตกต่างและต่ำกว่าราคาประเมินถึง 3 เท่า และไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด แต่อย่างใด
หลังจากนั้น ต่อมา อนันต์ อัศวโภคิน ก็ได้ขายที่ดินแปลงนี้ต่อให้บุคคลอื่นในราคา 492 ล้านบาทเศษ โดยได้นำเงินที่ได้จากการขาย จำนวนประมาณ 303 ล้านบาท บริจาคให้กับมูลนิธิคุณยายจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งมี พระธัมมชโย เป็นองค์อุปถัมภ์ ซึ่งมูลนิธิดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ในบริเวณมูลนิธิวัดพระธรรมกาย รวมถึงอาคารบุญรักษาด้วย
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินและการขายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังพบอีกว่า ในวันเดียวกับที่ อนันต์ ไปทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ศุภชัย ได้ทำหนังสือ แสดงเจตนาถวายที่ดินทั้ง 3 แปลงเดียวกันนี้ ให้กับ พระธัมมชโย โดย นายศุภชัย จะเป็นผู้จัดซื้อที่ดินทั้งสามแปลงเอง และถวายให้พระธัมมชโย โดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนาม นายอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งพระธัมมชโยมอบหมายให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน แต่ในหนังสือถวายที่ดินนั้น ศุภชัย ไม่ได้ลงชื่อ และไม่มีการดำเนินการใดๆตามหนังสือฉบับดังกล่าว มีแต่การขายที่ดินให้กับ อนันต์ อัศวโภคิน จากการเชื่อมโยงกันดังกล่าวทำให้นำไปสู่การเตรียมแจ้งข้อหาสมคบและร่วมกันฟอกเงินของพวกเขา และได่ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 7 มิถุนายน
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้น ลูกสาวของ อนันต์ อัศวโภคิน คือ อลิสา อัศวโภคิน ก็โดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดที่ดินจำนวน 8 แปลง ที่ซื้อมาจาก ศุภชัย ศรีศุภอักษร ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ตั้งของมูลนิธิบุญรักษานั่นแหละ
เอาเป็นว่าจากเส้นทางการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเห็นถึงเส้นทางการเชื่อมโยงกันระหว่างอาจารย์กับศิษย์ คือ ธัมมชโย ศุภชัย ศรีศุภอักษร อนันต์ อัศวโภคิน รวมไปถึงลูกสาวของ อนันต์ คือ อลิสา จนนำไปสู่การออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา
แน่นอนว่า นอกเหนือจาก ศุภชัย ศรีศุภอักษร ที่เป็นคีย์แมนสำคัญสำหรับอาณาจักร “ธุรกิจบุญ” ของ “ธรรมกาย” ที่มี “ธัมมชโย” เป็นหัวขบวนใหญ่แล้ว การขับเคลื่อนจะมีประสิทธิภาพไปไม่ได้เลยหากขาด อนันต์ อัศวโภคิน ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรแลนด์แอนด์เฮาส์ ซึ่งเป็นเบอร์ต้นๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย
ขณะเดียวกัน เมื่อบิ๊กบอสอย่าง อนันต์ อัศวโภคิน ติดร่างแหดังกล่าวมันก็ย่อมส่งผลระเทือนต่ออาณาจักรธุรกิจของเขาเข้าอย่างจัง ซึ่งทันที่ทำท่าจะโดนข้อหาฟอกเงินฯ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็แถลงว่า เขาขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเรื่องแบบนี้ถือว่า “อ่อนไหว” เร็วมาก ส่งผลให้หุ้นของธนาคารนี้ร่วมลงทันที
นอกเหนือจากนี้ เชื่อว่า ยังมีอีกหลายธุรกรรมที่ยังถูกตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งน่าจะมีการเปิดเผยตามมาภายหลัง ขณะเดียวกัน เมื่อเส้นทางตรวจสอบมีการเชื่อมโยงกับ ธัมมชโย และเส้นทางธุรกิจของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มันก็ย่อมส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงอาณาจักรของธรรมกาย ที่ไม่แน่ว่าหากตรวจสอบ เจาะเส้นทางไปเรื่อยๆ อาจพบพิรุธเพิ่มขึ้นมากมาย และที่สำคัญสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้พังทลายกันเลยก็เป็นได้ เพราะพวกเขาคือระดับตัวการสำคัญ !!