“สุริยะใส” ชี้ 3 ปี คสช. ปฏิรูปยังไปไม่ถึงโครงสร้างอำนาจ ปรองดองยังคลุมเครือ ติง 3 เดือน ป.ย.ป. ติดกับดักงานระดับกระทรวงจนเกินไป แนะโค้งสุดท้ายก่อนมีรัฐบาลใหม่ สร้างแนวร่วมกับสังคมดึงพลังปฏิรูปกลับมา
วันนี้ (21 พ.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) แสดงความเห็นว่า การบริหารแผ่นดินของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 นอกเหนือจากปัญหาปากท้องความเดือดร้อนทั่วไปของประชาชนที่เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นรัฐบาลในสถานการณ์พิเศษ ก็มีวาระพิเศษมีเรื่องที่สังคมคาดหวังเป็นกรณีพิเศษต่างจากรัฐบาลปกติทั่วไปด้วย
โดยเฉพาะวาระการปรองดองและการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นเป้าประสงค์สำคัญของการรัฐประหารที่ผ่านมา และเป็นเรื่องที่สังคมคาดหวังว่า ทั้ง 2 เรื่องจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วไป แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควรทั้ง 2 เรื่อง
เรื่องการปรองดองปมความขัดแย้งแตกแยกยังคงอยู่ แค่ถูกกดทับด้วยอำนาจพิเศษของ คสช. เมื่อสถานการณ์เหมาะสม ปมเหล่านี้ก็จะกลับมาแสดงตนอีก แม้ในภาพกว้างพลวัตของการปรองดองจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น แต่เนื้อในก็มีโอกาสปะทุขึ้นอีกในช่วงเลือกตั้ง
เรื่องการปฏิรูปในระดับการผ่าตัดโครงสร้างทางอำนาจยังไม่ชัดไปยังไม่ถึงรัฐบาล คสช. ก็เห็นปัญหานี้จนต้องตั้ง ป.ย.ป. ขึ้นมา เพื่อกระชับอำนาจคล้ายๆ เป็น ครม. ส่วนหน้า เพื่อดูงานปฏิรูปประเทศโดยตรง แต่ 3 เดือนของ ป.ย.ป. กลับไปแบกอยู่กับงานระดับกระทรวงจนเกินไป ทำให้ยังไม่เห็นการจุดพลุในเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นการปฏิรูประดับโครงสร้างอำนาจอย่างแท้จริง
กว่า 2 ปีจากนี้ไป จึงจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่ คสช. ต้องผลักดันลงมือปฏิรูปในเรื่องใหญ่ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปทำสารพัดเรื่อง 3 ปีที่ผ่านมาสังคมก็เห็นว่า คสช.ทำงานเยอะไม่ได้เกียร์ว่างแต่งานส่วนใหญ่เป็นงานเฉพาะหน้ามากเกินไป
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไป เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว หมวดการปฏิรูปและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ คสช. ควรใช้เป็นกลไก หรือเวทีเพื่อดึงพลัง หรือกระแสปฏิรูปกลับมา โดยเฉพาะการเอาพลังปฏิรูปจากสังคม และประชาชนมาเป็นแนวร่วมมากขึ้น ไม่ใช่คอยตั้งแง่ หรือหวาดระแวงเหมือนที่ผ่านๆ มา