รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อ้างเวทีสัมมนาไม่ได้มาหาคำตอบสุดท้ายปมร่างกฎหมายลูก ด้าน ประธาน กมธ.วิฯ กกต. รับเหลือประเด็นคุณสมบัติ กกต. และ กกต.จังหวัด ชงถกรัฐสภาจันทร์นี้ ยันทำตาม ม.77 หมดแล้ว ยึดเนื้อหา รธน. เป็นหลัก ขณะที่ “สมเจตน์” เผยมี 3 เรื่องต้องถามที่ประชุม
วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ รร.นิว ทราแวล ลอด์จ จ.จันทบุรี เมื่อเวลา 15.30 น. นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงผลภายหลังการสัมมนาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ.....และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ....ว่า คณะกรรมาธิการ ทั้ง 2 คณะ ได้นำเสนอข้อมูล ซึ่งมีประเด็นที่ถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เช่น ร่างกฎหมายลูก กกต. เห็นว่า สมควรที่จะมี กกต.จังหวัด หรือผู้ตรวจการเลือกตั้งหรือไม่ ทาง กกต. ยังยืนยันว่า ควรมี กกต.จังหวัด แต่ กรธ. เห็นควรที่จะปรับปรุงรูปแบบให้มีผู้ตรวจการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ประเด็นการคงอยู่ของ กกต. โดยมีผู้เสนอว่าควรจะให้ กกต. ชุดปัจจุบันอยู่ต่อไปตามวาระเดิม และบางคนเห็นว่าควรเซตซีโร่ทั้งคณะ และเสนอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ กกต. บางราย อย่างไรก็ตาม สนช. ก็มองว่า กกต. เป็นกลไกสำคัญในการเลือกตั้ง ซึ่งการตัดสินใจของ สนช. จะต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศ และเป็นการปฏิรูปประเทศด้วย ขณะที่ร่าง พ.ร.ป. พรรคการเมือง มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องทุนประเดิมการจัดตั้งพรรคการเมือง ค่าสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยมีสมาชิกพรรคการเมืองแย้งว่า ทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนลดน้อยลง
“เวทีสัมมนาครั้งนี้ไม่ได้หาคำตอบสุดท้าย แต่อยู่ที่การตัดสินใจของสมาชิกตามกระบวนการเพราะเป็นดุลพินิจของสมาชิกแต่ละคนอย่างอิสระ แต่อยากให้ตัดสินใจบนพื้นฐานบนข้อมูลที่เพียงพอ” นายสุรชัย กล่าว
ด้าน นายตวง อันทะไชย ประธาน กมธ. วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วย กกต. แถลงว่า กมธ. พิจารณากฎหมายฉบับนี้ครบทุกประเด็นแล้วเหลือ 2 เรื่อง ที่จะไปประชุมต่อที่รัฐสภาในวันที่ 22 พ.ค. นี้ คือ 1. คุณสมบัติของ กกต. ชุดปัจจุบัน ที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าให้เป็นไปตามกฎหมายลูก 2. กกต.จังหวัด และผู้ตรวจการการเลือกตั้ง มีความเห็น 2 แบบ คือ มี และไม่มี ซึ่ง กมธ. พูดทุกครั้งว่าเราพิจารณาบนพื้นฐานของกฎหมายประเทศ ไม่ได้ทำให้เพื่อให้ใครได้ประโยชน์ ทั้งนี้ การทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 เราได้ทำหมดแล้ว โดยนำความเห็นจากสถาบันวิจัยมาประกอบ รวมทั้งรายงานการรับฟังความเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.) และ กรธ. มาเป็นองค์ประกอบในการร่าง รวมทั้งการแถลงข่าวที่ถือเป็นการสื่อสารกับประชาชนยืนยันว่าเราทำครบถ้วนแล้ว
เมื่อถามว่า คุณสมบัติของของ กกต. ชุดปัจจุบัน นายตวง กล่าวว่า การอยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่เรื่องของการขัดรัฐธรรมนูญ แต่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่เปิดพื้นที่เพื่อให้การออกแบบการเลือกตั้งเท่านั้นเอง มาตรา 273 ระบุว่า การอยู่หรือไปของ กกต. นั้นให้เป็นไปตามกฎหมายลูก ซึ่งการพิจารณากฎหมายลูกเรายึดเนื้อหาในรัฐธรรมนูญเป็นหลัก กฎหมายนี้เป็นหนึ่งใน 10 ฉบับ ที่จะปฏิรูปประเทศและจัดกลไกในการบริหารจัดการเลือกตั้งให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนผ่านประเทศ ถึงแม้ว่าเราจะตัดสินใจว่าจะใช้ร่างของใครเป็นหลัก แต่เราจะต้องยึดประโยชน์ของประเทศเพื่อให้ทันต่อการบริหารการเลือกตั้ง
ด้าน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ประธาน กมธ. วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง กล่าวว่า ร่าง พ.ร.ป. พรรคการเมือง มีความสำคัญ กำหนดอำนาจหน้าที่ของพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็ง การพิจารณาของ กมธ. ยังมีประเด็นที่ติดค้าง คือ 1. ทุนประเดิมของพรรคการเมือง 2. การจ่ายค่าบำรุงพรรคของสมาชิกพรรคการเมือง กมธ. เห็นว่า จำนวนเงินไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือ กระบวนการจัดเก็บ กมธ. ได้ประสานธนาคารต่างๆ ของรัฐในการจัดเก็บค่าบำรุง 3. การปฏิรูปพรรคการเมืองโดยให้สมาชิกมีส่วนเข้ามาคัดเลือกตัวแทนลงสมัครที่ชัดเจน ซึ่ง กมธ. เห็นว่า ควรให้สมาชิกพรรคเป็นผู้เลือกผู้สมัคร ส.ส. แบบเขต และเป็นผู้เลือกผู้จัดลำดับแบบบัญชีรายชื่อ โดย กมธ. จะนำทั้ง 3 เรื่องกลับไปพิจารณากันต่อที่รัฐสภาเช่นกัน ทั้งนี้ การสัมมนามีความคิดเห็นที่หลากหลาย กมธ. จะนำไปประมวลผลและนำมาบัญญัติในร่างกฎหมายนี้ต่อไป