ป้อมพระสุเมรุ
ไม่ว่ายุคสมัยไหน การเมืองไทยก็ยังเป็นไปในรูปแบบ “ทีใครทีมัน” ใครขึ้นมาเป็นใหญ่ กุมอำนาจบริหารประเทศ ก็มักจะเอาพวกเอาพ้องตัวเองไว้ก่อน โดยเฉพาะการแต่งตั้ง “พวกพ้อง” เข้ามามีบทบาทสำคัญทางการเมือง หรือเป็นใหญ่เป็นโต คุมหน่วยงานราชการสำคัญ กลายเป็น “วัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆ” ที่คนนอกวงจรอำนาจไม่มีสิทธิ์ที่จะทักท้วง
คำโม้คำโตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ “เสียสละ” เข้ามายึดอำนาจจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อ 3 ปีก่อน ในการ “คืนความสุข” ให้คนไทย จัดระเบียบสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาธรรมาภิบาลในหน่วยงานภาครัฐ นับวันยิ่งเลือนรางไปเรื่อย โดยไม่สามารถหยิบคว้าผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรมได้
ตลอด 3 ปีผ่านของ คสช. ยิ่งตอกย้ำคำค่อนขอด “สมบัติผลัดกันชม” มีอำนาจแล้วทำอะไรก็ได้ โดยไม่ฟังอีร้า ฆ่าอีแร้ง มีการดึง “นายทหารใน-นอกราชการ” เข้ามามีตำแหน่งในแม่น้ำ 5 สาย ของ คสช. มากหน้าหลายตา
จนยุคสมัยแห่งการ “คืนความสุข” ให้คนไทย กลับกลายเป็นยุคแห่งการ “ปรนเปรอความสุข” ให้พวกพ้องตัวเอง ด้วยการใช้มาตรฐานเดียวกับ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” ในการแต่งตั้งพวกพ้อง ผลักดันคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นมาเป็นใหญ่ รับผลประโยชน์จากเงินภาษี ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน เบี้ยประชุม สวัสดิการสารพัด
ตั้งแต่เหล่า “องคาพยพ คสช.” ทั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) - สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มาถึงสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “สภาครอบครัว-เครือญาติ”
เมื่อถูกขุดคุ้ยหลักฐานว่ามีการแต่งตั้ง “ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ-ผู้ช่วยดำเนินการ” ที่มีความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัว วงศาคณาญาติ กับเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติ พอเรื่องแดงขึ้นมา หลายคนเพิ่งสำนึก ทำเป็น “หน้าบาง” ให้วงศาคณาญาติลาออกกันเป็นแถว แต่อีกหลายคนก็ไม่สนใจกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ให้คนใกล้ชิดดำรงตำแหน่งต่อไป ด้วยข้ออ้างที่ว่า ต้องการใช้งานคนที่ไว้ใจได้
ค่าตอบแทนไม่มากไม่มาย 1.5 - 2 หมื่นบาทต่อเดือน แต่เมื่อสะสมมา 2-3 ปี แต่ละรายคงเก็บเกี่ยวกันไปไม่น้อย ยังไม่รวมเบี้ยหวัด-สิทธิประโยชน์ที่ตามมาอีกมากมาย แถมหลายคนยังโชคดี 2 เด้ง รับเงินเดือน 2-3 ทางอีกต่างหาก
เรื่องเนื้องานคงต้องเจาะไปเป็นรายบุคคล ว่าแข็งขันทำงานตอบแทนรายได้ที่มาจากภาษีประชาชนขนาดไหน หากต่อสมาชิกผู้ทรงเกียรติในสภายุคคืนความสุข ก็มักถูกประจานว่า สำนึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ อยู่ในระดับ “ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” ไม่ต่างจากสภาในยุคนักเลือกตั้ง
เหล่าทหารหาญที่อยู่ในสภายุคคืนความสุข โชว์ทักษะชั้นสูงแปลงกายเป็น “พลร่ม” โดดการประชุมอยุ่เป็นนิจ ไม่ต้องคนอื่นไกล “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกฯตู่ ที่มีชื่อเป็น 1 ใน 7 สมาชิก สนช. ที่ถูก“ไอลอว์” (โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) เปิดเผยข้อมูลการขาดเข้าประชุมสนช. ในช่วง 6 เดือนแรก มกราคม - มิถุนายน 2559 ที่มีการลงมติทั้งหมด 453 หน แต่ข้าราชการบำนาญที่เกษียณแล้วอย่าง“บิ๊กติ๊ก” กลับติดภารกิจใดไม่ทราบได้ สามารถไปร่วมลงมติได้เพียงแค่ 6 ครั้ง จาก 453 ครั้งเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเหตุให้สิ้นสภาพการเป็น สมาชิก สนช.ไปแล้ว แต่ก็โอบอุ้มกันมา ว่ามีการลาประชุมอย่างถูกต้อง
ตัวสมาชิกผู้ทรงเกียรติยังไม่โผล่หน้าเข้าประชุมแบบไร้สำนึกเยี่ยงนี้ แล้วเหล่าทีมงาน จะทุ่มเททำงานขันแข็งอย่างนั้นหรือ
เรื่องเอาพวกเอาพ้องตัวเอง หาตำแหน่งแห่งที่ให้พวกพ้องในยุค คสช. หากลากไส้เป็นรายตัว คงใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะแจกแจงได้ครบครัน ขอคัดเน้นๆ ไปที่กรณีเด่นๆ พีคๆ ซึ่งคนในเรื่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น“บิ๊กติ๊ก” น้องชายนายกฯ รายเดิม เมื่อสมัยที่ยังเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม วันดีคืนดี ไม่ค่อยปลื้มกับอาชีพที่หลักลอยไร้ความมั่นคงของลูกชาย เลยจัดแจงอนุมัติบรรจุ “ลูกต๊อบ” ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายคนรองของ “พ่อติ๊ก - แม่ผ่องพรรณ” และอีกสถานะหนึ่งเป็นหลานชายนายกฯตู่ เข้ารับราชการ เงินเดือนสตาร์ท 1.5 หมื่นบาท พร้อมด้วยยศว่าที่ร้อยตรี (เหล่า สบ.) ในตำแหน่ง นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) ที่ครั้งหนึ่ง “พ่อติ๊ก” เคยเป็นแม่ทัพอยู่ ส่งผลให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาอย่างหนักหน่วง และรุนแรง
แต่แทนที่เหล่า “ผู้มีอำนาจ” จะสำเหนียกว่ากรณี “พ่อเซ็นรับลูกเข้ารับราชการทหารด้วยตัวเอง” นั้นมันไม่เหมาะสม ต่างพร้อมใจกันแก้ต่างว่า ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และตอกย้ำให้คนไทยหัวดำสำเหนียกตัวเองที่ไม่มีปัญญาไปอยู่ในวงอำนาจ ด้วยวลีที่ว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน”
วิพากษ์ลากไส้อย่างไรก็คงทำอะไรไม่ได้ จนทุกวันนี้ “หนุ่มต๊อบ” ก็ยังลั๊ลลา อยู่ดีมีสุขกับบทบาทนายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 3 ส่วนพี่ชายอย่าง ปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายคนโตของ “พ่อติ๊ก-แม่ผ่องพรรณ” ก็เลือกรับบท “เถ้าแก่น้อย” ทำมาหากินรับสัมปทานอู้ฟู่ อยู่ในกองทัพภาคที่ 3 ด้วยเช่นกัน
คอนเซปต์ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ในยุค คสช.คืนความสุข ยังระบาดไปทั่ว ในก๊วน “บิ๊ก คสช.” เป็นข่าวบ้างไม่เป็นข่าวบ้างตามสภาพ จนมาพีคสุดๆ อีกครั้ง กับคิวที่ “นายกฯตู่” เซ็นคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 123/2560 แต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา เพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่มี “เดอะปึ๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กระบี่มือต้นเรื่องกฎหมายเมืองไทย เป็นประธาน
ไคลแมกซ์ของคำสั่งตั้ง “กุนซือปฏิรูปกฎหมาย” อยู่ที่การปรากฏชื่อของ “ดร.โอม” วิชญะ เครืองาม ลูกชาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย รวมอยู่ด้วย
จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการแต่งตั้งบุคคลของรัฐบาลคสช. อีกครั้ง และหนักกว่าการที่น้องชายของ นายวิษณุ 2 คน ทั้ง ดุสิต เครืองาม และ พล.ต.อ.เฉลิมชัย เครืองาม เป็นสมาชิก สปท. ในขณะนี้
เป็นข้อวิจารณ์ในแง่ “ความทับซ้อน” ระหว่าง พ่อ-ลูก “วิษณุ - วิชญะ” ระหว่างเครือญาติ “บวรศักดิ์ - วิชญะ” แล้วทั้งคู่ก็ยังมีชื่อร่วมกันเป็นผู้บริหารบริษัทขนส่งโลจิสติกต์ และ ท่าเทียบเรือ ในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) ที่ “อาปึ๊ด” นายบวรศักดิ์ เป็นประธานกรรมการ ส่วน “หลานโอม” นายวิชญะ เป็นกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ
ยังไม่รวมถึงตำแหน่งของ “หนุ่มโอม” ในอีกหลายบริษัท ทั้ง กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญฝ่าย Corporate Affairs ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตลอดจน “รับจ๊อบ” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเป็นนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การศาสนา คุณธรรมและจริยธรรม สปท.
จริงอยู่ คณะกรรมการหรือบอร์ดชุดดังกล่าวที่มี “บวรศักดิ์” เป็นประธาน อาจจะไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในแง่ของการบริหารใดๆ แต่แค่ภารกิจ “ที่ปรึกษากฎหมาย” ให้แก่รัฐบาลนั้น ก็สามารถโน้มน้าว ชี้นำกฎหมายอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ “บริษัทที่สังกัดอยู่” ได้ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ เท่านั้น
การที่ “อาปึ๊ด” ดึง “หลานโอม” มาร่วมงานภาครัฐ เป็นส่วนหนึ่งของ ป.ย.ป.ครั้งนี้ ก็ไม่ต่างกับการ “ฝึกงาน” ปูทางให้เจเนอเรชั่นต่อไปของ “สำนักเนติบริกร” ซึ่งด้วยวลีที่ว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ก็คงไม่มีใครไปว่าได้ ขนาด “นายกฯตู่” ยังเซ็นฉับ ไร้ข้อท้วงติง
แต่การที่ “ดร.โอม” ไม่ปลดพันธนาการตัวเอง แล้วพกตำแหน่งที่ว่าไปข้างต้นมา ยิ่งเป็นการตอกย้ำสังคมพวกพ้อง-ทีใครทีมัน โดยไม่สนใจหรอกว่า สังคมจะมองว่าน่าเกลียดแค่ไหน