เมืองไทย 360 องศา
ทำท่าจะเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ กับข่าวการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีข่าวแบบนี้ออกมาระยะหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นอาจมองเป็นแค่หยั่งกระแสแบบ “โยนหิน” หรือเป็น “เกมป่วน” สร้างแรงกดดันกับรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เป็น “ศูนย์อำนาจ” อยู่ในปัจจุบัน เพราะหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริง นั่นเท่ากับว่า ปรับเฉพาะคนที่ผลงานไม่เข้าตาแล้วเปลี่ยนคนใหม่เข้ามาแทน โดยคนใหม่ที่เข้ามาก็จะร่วมกัน “ปิดเกม” ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่แค่ปีเศษตามโรดแมป ที่ประกาศไปแล้ว
ที่บอกว่า กระแสปรับคณะรัฐมนตรีเริ่มเป็นจริงมากกว่าเดิม เพราะล่าสุดฝ่ายการเมืองก็มีการพูดถึงแบบระบุเป็นรายกระทรวงออกมาเลย เช่น คำพูดของ เกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวโดยให้ความเห็นถึงข่าวปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยความหมายของเขา คาดการณ์ว่า น่าจะเป็นการ “ปรับเล็ก” ไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งเขามองว่ามันไม่เกิดประโยชน์มากนัก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะเรื่องความเป็นไปได้ในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแบบเฉพาะหน้าก่อน ก็พอมองเห็นสัญญาณที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะแม้แต่คนภายนอกยังรับรู้ มันก็ย่อมไม่ธรรมดา อย่างไรก็ดี คำถามก็คือ การปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ หรือพ้นจากรัฐบาลมันเป็นไปได้หรือไม่
เพราะถ้าพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า เขาคือ “สายตรง” แบบซี้ปึ้กกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ผ่านมา หากจำกันได้ เขาเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาก่อน เคยถูกกดดันเกิดเสียงวิจารณ์เรื่องผลงาน เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีก็ถูกโยกมานั่งเก้าอี้กระทรวง “เกรดเอ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จนถึงปัจจุบันเรียกว่า"เหนียวหนึบ" ไม่เปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่า ตามแบ็กกราวนด์ สำหรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ย่อมเป็น “เพื่อนรัก” ตัดไม่ตายขายไม่ขาดแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้น หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริงนาทีนี้ยังมั่นใจว่าสำหรับเขาแล้วน่าจะยังเหนียวหนึบต่อไป ส่วนจะพ้นจากเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ ยังฟันธงไม่ได้ แต่ยังเชื่อว่าตำแหน่งรัฐมนตรี น่าจะยังอยู่โดยอาจขยับไปนั่งตัวอื่น หรืออาจจะ “ขึ้นหิ้ง” เป็นรองนายกฯ คุมกระทรวงเกษตรฯ ก็อาจเป็นทางออกแบบไม่ให้เสียน้ำใจก็เป็นไปได้
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดกันถึงเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีกันแล้ว หากพิจารณากันในภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่า “แผ่วปลาย” ในระยะหลังเหมือนกับ “ช็อต” เอาดื้อๆ การบริหารระดับนโยบายเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่ค่อยเดินหน้าเท่าที่ควร เสียงวิจารณ์จากสังคมภายนอกเริ่มดังเข้ามาเรื่อยๆ ที่สำคัญแรงสนับสนุนแรงศรัทธาจากมวลชนเริ่มลดลงแบบมีนัยสำคัญ
ที่สำคัญ “ฝ่ายความมั่นคง” ที่เคยเป็นจุดแข็งกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม กลายเป็น “จุดอ่อน” อย่างไม่น่าเชื่อ จนหลายคนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ภายใต้การกุมบังเหียนแบบเบ็ดเสร็จของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่คุมไปถึงตำรวจ ทำไมระยะหลังจึงถูกท้าทายมากขึ้น ทั้งการถูก “ลองของ” แบบต้องการให้เสียหน้า ดังตัวอย่างที่เกิดเหตุลอบวางระเบิดที่หน้าสำนักงานสลากฯ หลังเก่า ที่แม้ว่าสรุปตรงกันว่าคนบงการมีเจตนาต้องการ “ข่มขู่” แต่มันมีความหมายที่ “ใหญ่มาก” เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเป็นการลงมือก่อนงานพระราชพิธีสำคัญ คือ ก่อนวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แค่ไม่กี่ชั่วโมง
แต่ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์แบบแรงๆ มากขึ้น ก็คือ สถานการณ์ความมั่นคงในพื่นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่ล่าสุดคนร้ายลงมือ “คาร์บอมบ์” ในห้างบิ๊กซีปัตตานี ที่แม้ล่าสุดจะสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้เกือบยกแก๊ง แต่ถึงอย่างไร การลอบเข้ามาถึงใจกลางเมือง เขตเศรษฐกิจมันก็เหมือนกับการ “ตบหน้า” เย้ยฝ่ายความมั่นคงกันทั้งทีม ไล่ลงไปตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งอีกตำแหน่งหนึ่ง ก็คือ “หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” ในการประสานงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายตำรวจ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในฐานะที่ดูแลพื้นที่ในเขตเมือง
แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากรูปการณ์แล้วมัน “ทะแม่ง” ผิดไปจากการก่อเหตุครั้งก่อนๆ คราวนี้ลักษณะการก่อเหตุน่าสงสัยว่าเป็นฝีมือการบงการของการเมือง “ระดับชาติ” ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่โดยข้อสงสัยดังกล่าวมาจากคนที่ร่วมก่อเหตุระดับสั่งการเป็นถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับความจริงว่า “ฝ่ายความมั่นคง” ถูกจับจ้องถูกวิจารณ์และทำท่าจะกลายเป็น “จุดอ่อน” ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หากข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้น นอกเหนือจากที่มีการระบุชื่อออกมาก่อน เช่น พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯแล้ว หากพิจารณาจากมาตรฐานก็ต้องรวมถึงทีมของ “พี่ใหญ่” ไปด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีบรรดา “เพื่อนพ้องน้องพี่” ที่นั่งคาอยู่หลายตำแหน่งที่หากพูดกันแบบไม่ไว้หน้าก็ต้องบอกว่า “ห่วยแตก” หลายคนไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำไป
ดังนั้น ขอย้ำว่า หากจะปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลาที่เหลืออยู่แค่ปีเศษตามโรดแมป ความหมายคราวนี้น่าจะพุ่งไปที่ฝ่ายความมั่นคงมากกว่า และหากต้องการให้เกิดแรงขับเคลื่อนในช่วงปลายจริงๆ น่าจะโละอีกหลายกระทรวงที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งเชื่อว่า นายกฯจะรู้ดี แต่ถ้าจะถามถึงความเป็นไปได้ผลน่าจะออกมาในแบบเพื่อนพ้องน้องพี่ชุดใหม่ที่เข้ามาสวมแทนเพื่อตอบแทนเป็นโบนัสในช่วงเวลาที่เหลือก่อนลาโรงมากกว่า !!