ผู้จัดการ 360 องศา - ท่ามกลางกระแสข่าว “พรรคชาติไทยพัฒนา” ของ บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ กำลังจะถูก “เทกโอเวอร์” โดยขั้วการเมืองใหญ่อย่าง พรรคเพื่อไทย ที่เตรียมพรรคสำรองไว้สำหรับสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งที่ยังไม่รู้วัน เวลา ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใดกันแน่
แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้ “เดอะท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา ในฐานะบุตรชายคนสุดท้องของนายบรรหาร ได้ออกมาโชว์วิสัยทัศน์ “ทายาทมังกรสุพรรณฯ” ในการนำพาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน “มรดกเตี่ย” โลดแล่นในวิถีการเมืองอันเชี่ยวกรากต่อไป ด้วยขุมข่าย “นิวบลัด” คนรุ่นใหม่เจเนอเรชั่นที่ 2 ของพรรค ที่จะมาเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนพรรคการเมืองแห่งนี้ต่อไป ในยามที่ไม่มี “หัวเรือใหญ่” อย่างนายบรรหารแล้ว
ต่อไปคือบทสัมภาษณ์เปิดใจ “เดอะท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา แบบคำต่อคำ โปรดติดตาม..
** นับตั้งแต่สูญเสียท่านบรรหารไป บรรยากาศภายในพรรคเป็นอย่างไรบ้าง
ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของพรรคชาติไทยพัฒนาที่ สาธารณชนมองว่า ขาดหัวเรือใหญ่ขาดผู้นำพรรคไป แต่หลังจากผ่านไป 1 ปี ความเป็นจริงคือผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคยังมีความเหนียวแน่นรักใคร่ปรองดองกันดีอยู่ เพราะสิ่งที่ท่านบรรหารได้สร้างเอาไว้ คือ บุคลากรของพรรค ไม่ว่าจะเป็น ท่านประภัตร โพธสุธน ท่านจองชัย เที่ยงธรรม ท่านนิกร จำนง และ ท่านสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ทุกคนต่างแสดงให้เห็นว่าจะช่วยกันเป็นกำลังหลักที่ค้ำชูพรรคให้ยังเป็นรูปเป็นร่างต่อไป เหมือนกับที่ทำมาตลอดเมื่อครั้งที่คุณพ่อยังอยู่
วันนี้ เราอยู่ในสถานะที่ต้นไม้ใหญ่เราไม่อยู่ แต่ทว่าต้นไม้ที่รองลงมายังมีอยู่อีกหลายต้น การที่ต้นไม้เล็กๆ รวมตัวกันย่อมทำให้เกิดความเข้มแข็งและความสามัคคีกันในพรรค ซึ่งในระยะหลังมีกระแสข่าวว่า ผมถูกโหวตให้เป็นหัวหน้าพรรค ก็ขอยืนยันว่า เรายังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้กัน
** ทุกคนมองว่าหัวหน้าพรรคคนต่อไปของชาติไทยพัฒนา ต้องนามสกุลศิลปอาชา
ผมเติบโตมากับพรรคชาติไทยพัฒนาถึงวันนี้ คำว่าตำแหน่งใดๆ ในพรรคไม่สำคัญ เพราะการที่ผมได้เกิดมาอยู่ในฐานะลูกชายนายบรรหาร ก็ถือว่าตำแหน่งนี้เป็นเกียรติที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว เดินไปไหนก็ภูมิใจ ที่สำคัญ ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งนี้ไปจากผมได้ด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะตำแหน่งหัวหน้าพรรค หรือตำแหน่งใดๆ ก็ตามไม่ได้มีความสำคัญกับชีวิตผม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสามัคคีภายในพรรค ความสามัคคีของคนภายในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่จะร่วมกันเป็นหนึ่งและก้าวไปข้างหน้าได้
ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคชาติไทยพัฒนาทุกคนช่วยกันสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา วันนี้เมื่อบ้านมีความเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องมาร่วมกันก่อร่างสร้างบ้านของเราให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำงานใหม่ก็คงต่างจากเอกลักษณ์เดิมของท่านบรรหารที่อาจจะได้ฉายาว่า “หลงจู๊” ทุบโต๊ะเปรี้ยงเดียวแล้วทำได้นั้น การทำงานแบบนั้นคงไม่สามารถหาใครมาทดแทนได้ แต่สิ่งที่เราพยายามทำ คือ เราจะทำให้พรรคเป็นองค์กรทางการเมืองที่เข้มแข็งในโครงสร้าง และการทำงานจะเป็นไปตามมติของผู้ประชุม รวมถึงประเด็นการแต่งตั้งหัวหน้าพรรคที่จะต้องมีการโหวตและลงมติ
พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่มรดกของนายบรรหาร แต่เป็นมรดกของผู้บริหารพรรคของทีมงานและพวกเราทุกคน สำหรับคนที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารพรรคไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าต้องเป็นผม หรือพี่สาวผม (กัญจนา ศิลปอาชา) แต่คนที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค จะต้องสามารถนำพาพรรคไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่จำเป็นต้องนามสกุลศิลปอาชา
** ก็มีข่าวว่าภายในพรรคมีการพูดคุยและวางตัวคุณวราวุธไว้แล้ว
ยังไม่มีการพูดคุยว่า ใครจะมานั่งหัวหน้าพรรคนะ เพราะต้องรอให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดให้พรรคการเมืองสามารถประชุมพรรคได้ก่อน เราจึงจะจัดให้มีการประชุมพรรคอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือว่าเราจะเดินไปในทิศทางไหน
** ก่อนหน้านี้ คุณวราวุธเคยพูดว่าต่อไปพรรคชาติไทยพัฒนาจะใช้คนรุ่นใหม่เป็นแกนในการขับเคลื่อนพรรค
ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคยังอยู่ ท่านมีประสบการณ์ ท่านมีความรู้ความชำนาญมหาศาล เปรียบเสมือนเข็มทิศ ท่านยังคงทำงานให้พวกเราอยู่ แต่หน้าที่ของเด็กรุ่นใหม่ที่ขึ้นมา คือ จะต้องนำเอามิติใหม่ๆ ทางการเมืองเข้ามาในองค์กรนี้ และจะทำให้พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นองค์กรที่ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวังรู้สึกว่าพรรคการเมืองเป็นที่พึ่งให้กับคนทั่วไปได้ นั่นคือ สิ่งที่เราอยากจะทำในวันที่นายบรรหารไม่อยู่ เราพยายามปรับกรอบความคิดต่างๆ พยายามที่จะคิดนอกกรอบทำอย่างไรไม่ให้จำเจกับสิ่งเดิมๆ และที่สำคัญ ซึ่งในทีมงานเรามีความเห็นตรงกันว่าถ้าเราไม่ได้เป็น ส.ส. เราไม่ได้ทำงานทางการเมือง เราก็ไม่อดตาย แต่สิ่งที่เราอยากจะทำในวันนี้ คือ อยากเห็นสังคมไทยดีกว่า ในอนาคตลูกๆ หลานๆ โตมาแล้วมีความสุขในประเทศไทย
** มีการวิเคราะห์ว่ากติกาการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ค่อนข้างเป็นผลดีกับพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก
กติกาใหม่ในการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่นั้น เป็นทั้งผลดีและผลร้าย เพราะเมื่อก่อนเรามีการลงคะแนนแบบสองใบ ใบหนึ่งเลือกคน ใบหนึ่งเลือกพรรค บางคนก็ชอบบอกว่าสบาย ถ้าเลือกคนแล้วคะแนนพรรคก็ตามมา หากมองมุมกลับก็อาจจะเปลี่ยนเป็นผลเสีย ระหว่างตัวคนกับพรรค คนลงคะแนน ศรัทธาสิ่งใดมากกว่ากันพรรคใหญ่อาจจะกวาดคะแนนไปหมดเลยก็เป็นได้ ส่วนพรรคเล็กจะได้ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้นหรือเปล่า ก็ยากจะคาดเดา แต่อย่างน้อยทุกๆ คะแนนที่ผู้สมัครของเราได้ จะไม่เสียเปล่า แต่เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องกระโดดพรวดไปเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่
** มาถึงกระแสข่าวที่คุณทักษิณ ได้ติดต่อขอเทกโอเวอร์พรรคชาติไทยพัฒนา
พรรคชาติไทยพัฒนาที่ก่อสร้างตัวมาจากพรรคชาติไทยเดิม เสมือนชีวิตจิตใจของนายบรรหาร และพวกเรามีความรักและศรัทธาต่อพรรคนี้ ดังนั้น พวกเราให้คำมั่นไว้เลยว่าพรรคนี้ไม่ได้รอวันมาถูกเทกโอเวอร์ พวกเราทุกคนในพรรคยังมีศักยภาพในการทำงานและการดำเนินงานทางการเมือง
** หลายคนมองว่าที่มาถึงจุดนี้เพราะขาดนายทุนใหญ่อย่างท่านบรรหารไป
ใช่ เมื่อนายบรรหารไม่อยู่แล้ว เราขาดนายทุนของพรรคไป แต่เราขาดนายทุนไปแค่คนเดียว แล้วก็ยังเหลืออีกหลายคน และแม้วันนี้พรรคชาติไทยพัฒนาจะยังขาดแกนนำหลัก ถ้าเปรียบตะเกียบเป็นแกนนำหลักแท่งเดียวมันหักง่าย แต่หากเรานำตะเกียบ 10 แท่ง มามัดร่วมกัน มันจะหักยากขึ้น อาจจะไม่มีใครโดนเด่นขึ้นมา แต่หากนำตะเกียบมารวมกันสร้างให้มีความเข้มแข็งได้ไม่ด้อยกว่าพรรคอื่นๆ ใครบอกว่าพรรคชาติไทยพัฒนากำลังจะโดนเทกโอเวอร์ ตรงนี้ไม่มีมูลความจริง เรามีศักดิ์ศรีพอที่จะยืนอยู่บนขาของเราเอง เรามีศักยภาพพอที่จะดูแลตัวของเราเอง ไม่จำเป็นต้องมีน้ำเลี้ยงมาจากที่ไหน ไม่จำเป็นต้องได้รับการอุปการะจากใคร หรือรอใครมาเทกโอเวอร์
** แล้วข่าวที่ว่าคุณทักษิณต่อสายมาหาคุณวราวุธ เท็จจริงเป็นอย่างไร
ท่านทักษิณติดต่อมาจริง ติดต่อมาหลังคุณพ่อเสีย เพื่อแสดงความเสียใจ เป็นเรื่องปกติในฐานะคนรู้จักกัน เพราะคุณพ่อและคุณทักษิณ เรียกได้ว่ารู้จักมักคุ้นกันมาหลายสิบปี ตอนโทร.มาหาผม ก็บอกแค่ว่า “อาเสียใจด้วยนะ” ผมก็ขอบคุณท่านไป ก็เท่านั้น ส่วนจะโทร.ไปหาพี่สาวผม (กัญจนา ศิลปอาชา) ด้วยหรือไม่ อาจจะมี แต่ยืนยันว่าไม่มีการโทร.มาเพื่อขอเทกโอเวอร์พรรคแน่นอน
** ก็มีกระแสข่าวอีกว่า มีการยื่นข้อเสนอผ่านผู้ใหญ่บางคนในพรรค
เรื่องนี้ไม่ทราบ แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกัน หรือทานข้าวร่วมกัน ไม่เคยมีการคุยกันเรื่องนี้เลย
** หลังจากไม่มีท่านบรรหารแล้ว ถือเป็นความท้าทายของทายาทในครอบครัวศิลปอาชาอย่างไรบ้าง
ผมเคยคิดที่จะไม่ยุ่งเรื่องการเมืองนะ คือ จริงๆ ผมไม่จำเป็นต้องทำงานทางการเมือง ผมแค่ฝากเงินกินดอกเบี้ย เปิดร้านกาแฟ ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำงานทางการเมือง แต่เมื่อได้คลุกคลีกับการทำงานของคุณพ่อมาตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ เราก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สานต่องานของพ่อ จะตอบคำถามกับคนสุพรรณฯยังไง ความเดือดร้อนของคนในสุพรรณบุรีที่ยังรอการแก้ไขยังมีอยู่อีกมาก ถ้าผมไม่สานต่อแล้วจะเอาหน้าไปสู้กับคนสุพรรณบุรีได้อย่างไร
** แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนคุณวราวุธจะไม่ค่อยเน้นงานทางการเมืองเท่าไร
ไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกคนที่ทำงานกับพ่อ จะไม่มีใครมองเห็นคนข้างพ่อเลย จะดูดร็อปหมด เพราะบารมีของคุณพ่อและศักยภาพในการทำงานของคนชื่อบรรหารมันใหญ่มาก โดยเฉพาะผมที่เป็นลูกชาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้จะเดินตามหาเสียงได้คลุกคลีกับการทำงานทางการเมืองที่สุพรรณบุรีมาตั้งแต่ 3 ขวบ ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่สนใจ เหมือนอยู่ใต้เงาของคุณพ่อ เหมือนเราเป็นแค่ไฟฉาย ส่วนพ่อเป็นไฟหน้ารถ ไม่แปลกที่จะมองไม่เห็นผม วันนี้ไฟฉายหน้ารถดับไป ก็เป็นวันที่ไฟฉายดวงเล็กๆ แต่ละดวงต้องมาฉายรวมกันเพื่อให้ไฟดวงใหญ่ขึ้น
ส่วน พี่นา (กัญจนา ศิลปอาชา) เป็นคนมีความคิดที่ลึกซึ้งมาก เรียกได้ว่า ถอดแบบคุณพ่อมาเลย แต่ว่าพี่นาจะไม่ค่อยชอบแสงสีทางการเมือง ดังนั้น พี่นาจึงคอยเป็นทีมงานและเป็นแบ็กอัพให้ผมเอง ก็ยังถือว่าพี่นาเป็นกำลังสำคัญให้กับพรรคเพียงแต่พี่นาจะไม่ชอบออกหน้าเท่าไร