เมืองไทย 360 องศา
หลังเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในห้างบิ๊กซี ปัตตานี เมื่อบ่ายวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ล่าสุด เจ้าหน้าที่ก็สามารถออกหมายจับ “นายมะกอเซ็ง หม้าแอ้” ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ผู้ก่อเหตุได้แล้ว
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. จากการเปิดเผยของ พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ขณะนั่งร่วมแถลงกับ นายวีรนันทร์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และ พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กรณีความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์หน้าห้างบิ๊กซี ว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ทุ่มเทกำลังความสามารถอย่างเต็มที่ ในการสืบสวนสอบสวนไล่ล่าคนร้ายที่ก่อเหตุ จนรู้เบาะแสว่ามีคนร้ายที่ร่วมกระทำผิด จำนวน 4 คน ตามภาพวงจรปิด
โดยผู้ต้องสงสัยดังกล่าว คือ นายมะกอเซ็ง หม้าแอ้ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/18 ม.3 ต.บาราโหม อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยพยานระบุว่า นายมะกอเซ็ง เป็นบุคคลที่ระบุในภาพวงจรปิดขณะออกจากรถยนต์ด้านที่นั่งข้างคนขับ และใส่เสื้อสีดำ ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบ ปรากฏว่า มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง จำนวน 3 หมาย ทั้งหมดเกี่ยวข้องต่อเหตุลอบวางระเบิดในเขต อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับ ส่วนอีก 3 คน ที่เหลือขณะนี้ กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับเช่นเดียวกัน และขอยืนยันว่า จะออกหมายจับคนร้ายทั้ง 4 คน ได้แน่นอน
พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ ระบุอีกว่า แนวทางการสืบสวนสอบสวนจนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่พอรู้แล้วว่าการก่อเหตุครั้งนี้มีด้วยกัน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 คน แบ่งการทำงานกันเป็นอย่างดี โดยชุดที่ก่อเหตุ 4 คน ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีที่สามารถก่อเหตุแบบเชิงประชิดตัว ซึ่งใน 3 กลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับแล้วหลายคน ขณะนี้ได้ประเมินสถานการณ์แล้ว พบว่า เขตเมืองจะต้องเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยมากขึ้น เพราะเขตเมืองถือว่ายังเป็นพื้นที่เสี่ยง ซึ่งจะมีการจัดกำลังดูแลเพิ่มให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเพื่อความปลอดภัย
แน่นอนว่า การออกหมายจับผู้ต้องสงสัยครั้งนี้ รวมไปถึงคำยืนยันที่ว่าจะต้องออกหมายจับผู้ก่อเหตุให้ได้ครบทั้งหมด ความหมายก็คือการทำงานของเจ้าหน้าที่แสดงให้เห็นว่า “มีความคืบหน้า” อย่างรวดเร็ว เพราะหลังก่อเหตุไม่กี่วันก็สามารถรู้เบาะแสคนร้ายได้แล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง มันกลับสะท้อนให้เห็นภาพบางอย่างที่ซ้อนขึ้นมา นั่นคือ “ประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการก่อเหตุของคนร้าย” เพราะหากพิจารณาจากรายละเอียดในการแถลงของ พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ก็คือ มีการเปิดเผยว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ้ คนนี้ “มีหมายจับคดีความมั่นคงถึง 3 หมายจับ” และแน่นอนว่า คดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงแบบนี้โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อยู่ภายใต้ “กฎหมายพิเศษ” แบบเข้มงวดมีหมายจับติดตัวมากมายหลายคดี แต่กลับยังสามารถเคลื่อนไหวเข้ามาก่อเหตุลอบวางระเบิดแบบ “คาร์บอมบ์” ได้ถึงกลางใจเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ “ไข่แดง” เป็นเขตเศรษฐกิจ กลางวันแสกๆ แบบนี้ มันก็ย่อมทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย ถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยใน “เขตเมืองชั้นใน” ว่า มีการบูรณากันจริงจังแค่ไหน เพราะหากจำกันได้ที่ผ่านมาก็มีการแจ้งเตือนจากหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน เดือนที่ผ่านมาในช่วงวันครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์รุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ
หากพิจารณากันแบบตั้งข้อสังเกตก็จะพบว่าผู้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อถูกออกหมายจับ หลายในเวลานี้มีหมายจับในคดีความมั่นคงติดตัวไม่ต่ำกว่า 1 ถึง 2 หมายจับ ตัวอย่างล่าสุดก็คือ นายมะกอเซ็ง หม้าแอ้ คนที่ก่อเหตุคาร์บอมบ์ที่ห้างบิ๊กซี ปัตตานี ก็มีหมายจับถึง 3 หมายจับ ก็ยังเข้ามาก่อเหตุในกลางเมืองได้อย่างสะดวก นั่นก็เป็นคำถามว่าหมายจับผู้ต้องหาไม่อาจสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคนร้ายได้เลย
เพราะต่อให้มีหมายจับอีกนับสิบใบ คนพวกนี้ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้อีก เหมือนกับอีกหลายคดีที่คนร้ายมีหมายจับติดตัวจำนวนมาก แต่ก็ยังก่อเหตุได้เรื่อยๆ หรือเวลาผ่านไปนานนับปี หรือหลายเดือนกว่าที่เจ้าหน้าที่จะจับกุมได้ ซึ่งนั่นย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น วิธีการที่จะสกัดกั้นคนร้ายอย่างได้ผลจริงๆ มีทางเดียว ก็คือ เจ้าหน้าที่ต้องจับกุมให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้ต้องหาตามหมายจับที่มีอยู่เกลื่อนเมือง
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายในการจับกุม เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์จริงจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดมันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า “งานข่าว” ยังอยู่ในขั้น “อ่อนด้อย” แม้ว่าจะเริ่มดีขึ้นกว่าเดิม ได้รับแจ้งเบาะแสและมีความไว้วางใจจากชาวบ้านมากกว่าเดิมก็ตาม แต่ก็ยังไม่เข้มข้นเพียงพอ ประกอบกับการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคง สำหรับ “ในเขตเมืองที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายตำรวจ” พื้นที่รอบนอกเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายทหาร เมื่อผลสะท้อนออกมาให้เห็นแบบนี้มันก็ต้องยอมรับความจริงและต้องแก้ไขโดยด่วน
นอกเหนือจากนี้ ก่อนเกิดเหตุดังกล่าวเพียงแค่ 1 - 2 วันเท่านั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เดินทางไปในพื้นที่ชายแดนใต้เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และน่าจะต้องมีการซักซ้อมมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หลังเกิดเหตุร้ายต่อเนื่องกัน หรือก่อนหน้านี้ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ก็ได้เดินทางลงไปในพื้นที่มาแล้วเช่นกัน
แน่นอนว่า เหตุรุนแรงคราวนี้คงต้องมีการ “ตำหนิ” กันภายใน โดยเฉพาะฝ่ายตำรวจที่รับผิดชอบดูแลในเขตเมือง เขตเศรษฐกิจชั้นใน จะต้องโดนหนักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฝ่ายรับนโยบายระดับบนอย่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงหน่วยงานด้านการข่าวที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
แต่ก็นั่นแหละคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา เพราะชายแดนใต้มีความละเอียดอ่อน มีความซับซ้อนมากกว่าพื้นที่อื่น ตัวอย่างว่าแค่หมายจับ หากเป็นพื้นที่อื่นแค่โดนหมายจับหมายเดียว ก็หนีหัวซุกหัวซุน และไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ดมกลิ่นตามจับตัวมาได้ ตามที่ปรากฏให้เห็น แต่สำหรับชายแดนใต้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน ไม่แจ้งเบาะแสก็ยาก
ดังนั้น สิ่งที่ต้องการสะท้อนให้เห็น ก็คือ แม้ว่าเจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมหลักฐานจนสามารถออกหมายจับหนึ่งในสี่คนร้ายที่ก่อเหตุ รวมไปถึงสามารถรู้ชื่อคนก่อเหตุที่เหลือ และเตรียมออกหมายจับในเร็วๆ นี้ ก็ตาม ก็ไม่ใช่หลักประกันในการหยุดยั้งการก่อเหตุ เพราะการหยุดยั้งและสกัดกั้นคนร้ายอย่างได้ผล ก็คือ ต้องติดตามจับกุมตัวมาให้ได้โดยเร็วเท่านั้น เพราะจากประสบการณ์ที่เห็นต่อให้มีหมายจับอีกนับสิบใบ แต่หากยังจับกุมไม่ได้มันก็เสี่ยงต่อเหตุความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา !!