นายกรัฐมนตรีปาฐกถา บทบาทของมหาวิทยาลัยไทยต่อ Thailand 4.0 เผยวางกรอบกว้างๆ ไว้ 6 ด้าน ชี้จะปล่อยให้สุดโต่งต่อไปไม่ได้ ย้ำไม่ได้ต้องการควบคุมอะไรใคร ชูโลกยุคใหม่เป็นชาตินิยม จ่อปฏิรูปสาธารณสุขใหม่หมด รับออกกำลังกายจนหลังยอกก็ต้องทำเพราะสั่งเอง หวังมหิดลไม่มีพวกสุดโต่ง ดันเป็นสังคมอุดมปัญญาพัฒนาประเทศ รับ 3 ปียังไม่ชินกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปัดตั้งกรรมการพรึ่บหวังอยู่ต่อ
วันนี้ (5 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เมื่อเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงปาฐกถา “บทบาทของมหาวิทยาลัยไทยต่อ Thailand 4.0” โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายพิเชษฐ์ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟังด้วย
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาแสดงปาฐกถาในครั้งนี้ และที่จำเป็นต้องพูดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าตนและรัฐบาลคิดอะไร วันนี้จะเห็นได้ว่าฟ้าขมุกขมัวตั้งแต่เช้า ฝนก็ตก แต่มีคนบอกว่าฟ้าหลังฝนอากาศจะแจ่มใส ประเทศไทยก็เช่นกัน เราอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัวมาหลายปีแล้ว วันนี้เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลง ทุกคนคืออนาคต รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ชาติไว้ 20 ปีข้างหน้า ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเดินให้ตรงตามทั้งหมด เพียงแต่เราตีกรอบกว้างๆ ไว้ 6 ด้าน และได้เริ่มทำไปทั้งหมดแล้ว ส่วนรัฐบาลหน้าจะเป็นอย่างไร เราคงไปบังคับกันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการบริหาร เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนที่จะเลือกรัฐบาลใหม่เข้ามาเพื่อทำสิ่งที่เราวางกรอบไว้ให้ได้ วันนี้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และความคิดต่างๆ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศ คงไม่มีใครไม่อยากเห็นประเทศไทยเจริญก้าวหน้า หรือไม่อยากให้ประเทศเป็นมหาอำนาจทางประชาธิปไตย มหาอำนาจทางความคิด ทางการทหาร และไม่ได้มีเพียงเพื่อเป็นมหาอำนาจทางการรบเพียงอย่างเดียว แต่เรามีไว้เพื่อป้องกันตัวเองให้ได้ก่อนเท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่มาของไทยแลนด์ 4.0 เนื่องจากโลกในศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงจากศตวรรษที่ 20 เราจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันต่อสถานการณ์ เพราะโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่งไม่ซ้ายก็ขวา เราต้องผ่านจุดนี้ให้ได้ และต้องช่วยกันคิดว่าเราจะอยู่ได้อย่างไรให้มีความสุข จะปล่อยให้ทุกอย่างสุดโต่งไม่ได้ ซ้ายหรือขวามากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ต้องหาตรงกลางให้เจอ เดินทางสายกลางตามกติกาที่สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นมิติการเมือง หรือสังคม จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติในทุกเรื่อง
“เราต้องเผชิญหน้าและหามาตรการป้องกัน และรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งของโลกวันนี้ การก่อการร้าย โรคระบาด เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ ฯลฯ ทุกคนต้องปรับตัว จะอยู่หรือเดินแบบเดิมไม่ได้แล้ว การที่เราก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้นอย่าไปกังวล ทุกอย่างต้องเดินไปได้ และไปพร้อมกันโดยจะไม่ทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งไว้ ยืนยันว่ารัฐบาลคำนึงถึงผู้มีรายได้น้อยมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมาเราติดกับดักเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ติดกับดักการกระจายรายได้ การเจริญเติบโต และการติดกับดักความเหลื่อมล้ำ และความไม่สมดุล ไทยแลนด์ 4.0 เราจึงต้องปลดล็อกตรงนี้ให้ได้เพื่อไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดวาทกรรมเรื่องคนรวยคนจน รายได้ไม่เท่าเทียม การเอื้อประโยชน์ การทำงานนั้นรัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ถ้ารัฐบาลทำฝ่ายเดียวโดยไม่ฟังเสียงจากฝ่ายอื่นๆ ก็จะเกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมาในอดีต ถ้าเราได้คนไม่ดีมาดูแลก็จะเกิดปัญหาเดิมๆ เราจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในแต่ละองค์กรให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ใช้หลักการสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน คือ สร้างความเข้มแข็งจากภายในเชื่อมโยงไปสู่ประชาคมโลก การคาดหวังที่จะเพิ่มจีดีพีให้สูงขึ้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าเรายังทำเหมือนเดิม หากสินค้าเราไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ การส่งออกก็จะลดลง ก็จะกลายเป็นว่าเราติดกับดักแบบเดิม ประเด็นสำคัญก็จะติดกับดักประชาธิปไตยของประเทศไทย 85 ปีผ่านมาแล้วที่เรามีประชาธิปไตย เราไปไกลในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ แต่เราต้องกลับมาดูว่าหน้าที่ต่อตัวเอง ต่อสังคมประเทศชาติ คืออะไร อย่าปล่อยให้สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง
“ผมไม่ได้ต้องการไปควบคุมอะไรใครเลย ผมต้องการความคิดเห็นจากทุกคนในทางสร้างสรรค์ มากกว่าการสร้างความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น วันนี้สถานการณ์โลกมีการเจริญเติบโตลดลง เศรษฐกิจโลกลดลง จีดีพีโลก และอาเซียนลดลง ขณะเดียวกันทุกๆ ประเทศพยายามปรับตัวเพื่อเป็นโลกยุคใหม่ หลายประเทศก้าวไปสู่การเป็นชาตินิยม หรือประเทศตัวเองต้องมาก่อน แล้วเมื่อไหร่เราจะทำให้เป็นไทยแลนด์เฟิสต์ขึ้นมาบ้าง แต่เราจะเลือกอยู่ข้างใครคนหนึ่งไม่ได้ เราจะต้องไปด้วยกัน เราจะต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม ได้ประโยชน์จากทุกอย่าง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้เป็นโลกยุคใหม่หรือที่เรียกว่าชาตินิยม เราเลือกใครไม่ได้ ต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสม รักษาผลประโยชน์ให้ได้ เราต้องเปลี่ยนแนวคิด สร้างความเข้มแข็ง เราต้องสร้างประเทศจากการปักชำสู่รากแก้ว แต่ต้องมีรากฝอยมาพยุง อย่างเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่มีต้นงิ้วหักล้มทับรถที่สภา แล้วบอกว่าเป็นลางร้าย ทำไมถึงคิดให้มันดีไม่ได้ อะไรก็ร้ายตลอด เพราะการคิดของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ ปรารถนาให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า คิดบริหารประเทศให้ได้ ทำให้คนไทยทุกคนมีความสุขให้ได้ ฉะนั้น การสร้างรากแก้วจึงต้องเปลี่ยนเศรษฐกิจที่พึ่งพาภายนอกเป็นหลักมาเป็นการพึ่งพาตัวเอง และการที่จะมีรากแก้วเป็นของตัวเองนั้นต้องสร้างรากฐานด้วยการสร้างคน
นายกฯ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญเรื่องการเกษตร และสุขภาพ ต้องมีความเข้มแข็งในเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวของเราเอง ต้องปฏิรูประบบสาธารณสุขใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นทาง เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา แข็งแรงดีกว่ารักษา เพราะฉะนั้นทุกวันพุธต้องออกกำลังกาย อย่างเมื่อวันพุธที่ผ่านมาตนก็ออกกำลังกาย ทำหลังยอก แต่ตนเป็นคนสั่งก็ต้องทำเอง วันไหนไม่ได้ลงมาดูคนก็น้อย ต้องมาเป็นตัวอย่าง ตนอายุ 60 กว่าปีแล้ว ออกกำลังกาย 20-30 ท่า ถ้าเป็นลมเมื่อไหร่ก็ช่วยด้วยแล้วกัน แต่ตนก็ยังแข็งแรงอยู่เพราะเป็นทหารเก่า
“วันนี้เราต้องสร้างคนในอนาคตให้ได้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญของไทยแลนด์ 4.0 เป็นเรื่องแรกที่ต้องทำ เตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีการพัฒนา มีแรงบันดาลใจ มีความตั้งใจ เชื่อมั่นและศรัทธา ถ้าเราไม่ศรัทธาคนอื่น ไม่ศรัทธาตัวเอง ไม่ศรัทธาประเทศชาติ มันก็ไปไม่ได้ทั้งหมด เราต้องมีความมุ่งมั่น ศรัทธา มีพลัง ทั้งนี้ รัฐบาลไม่สามารถหาเงินหาเงินหลายแสนล้านมาปลดหนี้คนทั้งประเทศได้ ถ้าเราไม่สร้างความเข้มแข็ง และเป็นคนไทยต้องที่มีจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทำงานเพื่อคนอื่นที่แย่กว่าเรา อย่างน้อยใจก็รู้สึกเป็นกุศล ใจเราก็มีความสุข” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า จากนี้คนไทยต้องคิดแบบนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่เลิกรบกัน ต้องเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อคิดแล้วต้องทำ ไม่ใช่คิดแล้วพูดแต่ไม่ทำ ติเขาทุกเรื่อง พอเขาคิดออกมาสวนทางกับตัวเองก็ต่อต้านไว้ก่อน ไม่ไว้ใจ เรื่องนี้ต้องลดลงไป ให้กลไกต่างๆ ทำงาน อย่าใช้ความรู้สึก คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ช่วยทุกอย่างให้ขับเคลื่อนไปให้ได้ ทั้งนี้ การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพต้องมีปรัชญาชีวิตที่ถูกต้อง คือ ต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรม รู้อะไรดี อะไรไม่ดี ถ้าทำแบบนี้ในสังคมก็จะดีขึ้น มีความสร้างสรรค์ เราก็จะชนะร่วมกัน มีผลประโยชน์ที่เป็นธรรมร่วมกัน ที่อยู่ในห่วงโซ่ที่มีมูลค่า แบบวิน-วินทั้งตัวเอง คนอื่น และประเทศชาติ ไม่ใช่อยู่แค่สองคนเท่านั้น วันนี้รัฐบาลและ คสช.เวลาไปต่างประเทศจะพูดอยู่ 3 ประโยค คือ 1. ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน 2. การลดความหวาดระแวง และ 3. สร้างผลประโยชน์ที่เป็นธรรม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การศึกษาจะต้องมีความคิดที่รอบด้าน อย่าจับเรื่องเล็กน้อยแล้วมาตีกัน จะต้องการมีวิสัยทัศน์และคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ โดยการศึกษาต้องสร้างคน สร้างความคิด ให้คนคิดเป็นและอยู่ร่วมกับสังคมได้ หวังว่ามหิดลจะไม่มีความคิดที่สุดโต่ง ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ไหว วันนี้ทุกคนต้องการให้ตนแก้ไขปัญหาซึ่งเกิดมานานให้แล้วเสร็จ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข จะเห็นว่าประเทศจีนซึ่งปฏิรูปมาแล้วหลายปี แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศไทยจะปฏิรูปเสร็จในเร็ววัน การปฏิรูปต้องใช้เวลา แม้ทุกคนบอกจะให้ใช้มาตรา 44 แต่ที่ผ่านมานั้นใช้เพราะความจำเป็น แต่วันข้างหน้าจะต้องไม่ใช้ โดยจะต้องออกเป็นกฎหมายปกติ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต้องคิดว่าจะผลิตนักศึกษาให้มีคุณภาพได้อย่างไร จะต้องจัดเตรียมมาตรการ มีแผนการพัฒนาไว้รองรับ แล้วจะทำอย่างไรให้มหาวิทยาลัยเป็นสังคมอุดมปัญญาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ยกระดับประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเรื่องอื่นๆ เช่น การยกระดับเกษตร ธุรกิจ ฯลฯ โดยไทยแลนด์ 4.0 เป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยด้วย นี่คือการปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ รัฐจะสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เอกชนรายใหญ่มาร่วมลงทุน ในรูปแบบภาษีหรือวิธีการอื่นๆ แต่ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน อย่ามองว่าสิ่งที่รัฐทำนั้นเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงรับสั่งกับรัฐบาลมาโดยตลอดว่าจะต้องพัฒนาให้ประชาชนเป็นสุข รัฐบาลก็ได้น้อมนำมาปรับใช้ พร้อมกับยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รัฐบาลจะผ่านต้องเดินหน้าการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งความจริงแล้วประเทศไทยควรจะเป็นมหาอำนาจด้วยซ้ำ เหตุใดถึงไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราต้องพัฒนาการศึกษา อะไรที่ขัดแย้งก็ขอให้เอาไว้ก่อน ต้องมองไปถึงความสามัคคีเพื่อพัฒนา รัฐบาลสนับสนุนไมโครเอสเอ็มอี ซึ่งในประเทศไทยมี 5 ล้านกว่ารายแล้ว จะต้องจะจดทะเบียนให้ในระบบ ธุรกิจเหล่านี้หลายประเทศต้องการมาร่วมลงทุน เอสเอ็มอี และไมโครเอสเอ็มอีสามารถสร้างได้ถึง 10 ล้านคน เรามีงบประมาณลงไปในจังหวัด ส่วนการจะทุจริตหรือไม่ก็จะต้องมีการตรวจสอบ อย่าเพิ่งมาบอกว่าจะมีการทุจริต เพราะยังไม่มีการตรวจสอบ แต่ขอให้ไว้วางใจกันถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเดินหน้าไปไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า 3 ปีมานี้ยังไม่รู้สึกชินกับการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ชินกับการเป็น พล.อ.ประยุทธ์เหมือนเดิม วันนี้มีการตั้งคณะกรรมการออกมามากมาย ไม่ใช่เพื่อจะอยู่ต่อ ขออย่าเชื่อวาทกรรมต่างๆ วันนี้เราต้องสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจ พร้อมกับลดความขัดแย้ง ขอให้คิดเรื่องต่างๆ ก่อนที่จะเชื่อ เพราะถือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ ซึ่งการใช้สื่อทุกวันนี้จะต้องใช้อย่างระมัดระวัง