เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่า เวลานี้สังคมกำลังให้สนใจกับคดีของ “บอส กระทิงแดง” หรือ วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” ที่ก่อคดีขับรถยนต์ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนของ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2553 โดยคดีดังกล่าวกลับมาเป็นที่ฮือฮา และเป็นที่สนใจของสังคมไทยอีกครั้ง เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน หลังจากสื่อต่างประเทศได้รายงานชีวิตและความเป็นอยู่อย่างหรูหราและหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศในแถบยุโรป
จากรายงานดังกล่าวได้กระตุ้นความรู้สึกของคนในสังคมไทยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแบบ “ไม่พอใจ” ขึ้นมาอีกครั้ง สร้าง “ความรู้สึกร่วม” โดยอัตโนมัติ พร้อมๆ กับการตั้งคำถามด้วยความสงสัยไปถึง “กระบวนการยุติธรรม” ของไทยในระดับ “ต้นน้ำและกลางน้ำ” นั่นคือ ฝ่าย “ตำรวจ” กับ “อัยการ” ว่า มีความตรงไปตรงมาหรือไม่ หลังจากมีรายงานระบุในตอนนั้น ว่า คดีอาญาดังกล่าวกำลังจะหมดอายุความในปลายเดือนที่ผ่านมา และที่ผ่านมา มีเจตนาบ่ายเบี่ยงประวิงเวลาส่งทนายความมาขอเลื่อนนัดการพิจารณาสำนวนของพนักงานอัยการมาหลายครั้ง
ในที่สุด ทางอัยการก็ได้มีการแถลงยืนยันเมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า อัยการได้เตรียมสำนวนเพื่อสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ไว้แล้ว และไม่ยอมให้เลื่อนนัดอีกต่อไป โดยจะทำหนังสือถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เพื่อยื่นขอหมายจับต่อศาลอาญา ซึ่งต่อมาศาลก็ได้ออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจะมีการตั้งข้อสังเกตจากสังคมมากมายจากคดีดังกล่าว โดยต้องยอมรับความจริง ว่า ส่วนใหญ่ล้วนออกมาใน “ทางลบ” กับฝ่ายตำรวจและอัยการแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการตั้งคำถามว่า ทำไมถึงได้ปล่อยให้คดียืดเยื้อมานานได้ถึงขนาดนี้ พร้อมตั้งคำถามว่าหากสื่อต่างประเทศไม่รายงานความเคลื่อนไหวดังกล่าวออกมาตีแผ่ให้สังคมได้รับทราบ ก็คงไม่มีการ “ตื่นตัว” กันขนาดนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อสองสามวันก่อน สื่อต่างประเทศก็รายงานอีกว่า ก่อนที่ศาลจะออกหมายจับ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ก็ได้เดินทางออกจากประเทศไทยด้วย “เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว” ไปกบดานในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตามรายงานระบุว่า ไม่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และในเวลาต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทย (ตม.) ก็ได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และอ้างว่า สาเหตุที่อนุญาตให้ทายาทเครื่องดื่มกระทิงแดงคนนี้ออกนอกประเทศ เพราะเขายังไม่มีหมายจับ และยังไม่มีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างได ทุกอย่างถือว่าเป็นไปตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าตำรวจสากลประเทศไทย ที่ขณะนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีดังกล่าว ว่า จากการตรวจสอบข่าวกับตำรวจสากลประเทศสิงคโปร์ พบว่า เครื่องบินส่วนตัวของนายวรยุทธยังจอดอยู่ที่สิงคโปร์ จึงขอให้ตำรวจสากลประเทศสิงคโปร์ตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะอาจเป็นการจอดเครื่องบินทิ้งไว้แล้วโดยสารเครื่องบินพาณิชย์ไปประเทศอื่น แต่ล่าสุด รับแจ้งว่า นายวรยุทธ ออกจากสิงคโปร์วันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ยังไม่ทราบจุดหมายว่าเดินทางไปประเทศใด
พล.ต.ต.อภิชาติ เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ตำรวจสากลอังกฤษ แจ้งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า ได้รับเอกสารให้ตรวจสอบแหล่งพำนักนายวรยุทธแล้ว คาดว่า จะใช้ตรวจสอบ 1 - 2 วัน แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่รอ โดยจะประสานองค์การตำรวจสากลให้ออก “หมายน้ำเงิน” แทนหมายแดง เพื่อตรวจสอบที่อยู่นายวรยุทธ ซึ่งการออกหมายดังกล่าว ก็จะออกที่ศูนย์นวัตกรรรมองค์การตำรวจสากล ตั้งอยู่ประเทศสิงคโปร์ การร้องขอหมายน้ำเงินแทนหมายแดง เพราะต้องการปักหมุดที่อยู่นายวรยุทธที่ชัดเจน เพื่อส่งให้อัยการพิจารณาขอส่งตัวเป็นผู้รายข้ามแดนกับประเทศที่นายวรยุทธไปพำนัก สำหรับหมายน้ำเงิน หรือ หมายฟ้า เป็นหมายที่แจ้งให้ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศสมาชิกรวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหว ถิ่นพำนัก บุคลิกลักษณะของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ
แน่นอนว่า นั่นคือ ขั้นตอนทางกฎหมายและการติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี แม้ว่าถึงตอนนี้หาก นายวรยุทธ เลือกใช้วิธีการหลบหนีคดีในต่างประเทศ หรือดอดกลับเข้ามากบดานในประเทศไทย แต่นั่นก็หมายความว่า เขาต้องหนีตลอดไป และยังเชื่อว่า ด้วยสถานภาพของ “ทายาทมหาเศรษฐี” ก็น่าจะมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกจับกุมได้ในที่สุด เพราะเมื่อพิจารณาจากรูปการณ์แห่งคดี การทำคดี ทำสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อเนื่องไปจนถึงพนักงานอัยการ ก็ต้องกล่าวแบบตรงไปตรงมาว่า “น่าสงสัย” และเต็มไปด้วยคำถาม แม้ว่าทุกขั้นตอนหากสังเกตให้ดีจะพบว่าจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่นั่นคือ “แท็กติก” หรือ “ลูกเล่น” ของคนมีเงิน เจ้าหน้าที่และฝ่ายกฎหมายที่มี “ชื่อชั้นราคาแพง” แบบเต็มพิกัด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือ “กระแสสังคม” ที่กำลังถูกจุดให้โหมแรงทำนอง “รวยแล้วไม่ผิด” หรือ “รวยแล้วไม่ติดคุก” แบบนี้แหละน่ากลัว ซึ่งแนวโน้มกำลังจะลุกลามไปกระทบกับธุรกิจหลักของครอบครัวของเขา นั่นคือ “ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง” หรือในชื่อภาษาต่างประเทศ ว่า “เรดบูลล์” ธุรกิจข้ามชาติที่กลุ่มตระกูลอยู่วิทยา ร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจในประเทศออสเตรีย ในเวลานี้ จะเสียภาพลักษณ์มากน้อยแค่ไหน หลังจากในเวลานี้กำลังได้รับเสียงตำหนิและวิจารณ์ในทางลบในโลกโซเชียลอย่างหนัก และเกิดกระแสลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในและต่างประเทศ
โดยเฉพาะต่างประเทศในเวลานี้ กำลังเกิดกระแสแอนตี้เครื่องดื่มดังกล่าวกันแล้ว มีการเปิดเพจต่อต้านการซื้อสินค้ายี่ห้อดังกล่าวกันแล้ว และได้รับกระแสตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ที่น่าสังเกต ก็คือ หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาครั้งหลังสุด ยังไม่ปรากฏว่าคนในครอบครัวออกมาแถลง หรือให้ข้อมูลใดๆ กับสังคม นอกเหนือจากเมื่อราวห้าปีก่อน หลังเกิดเหตุทางครอบครัวของผู้ต้องหาได้เดินทางไปเคารพศพ และขอโทษต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมทั้งให้คำมั่นเรื่องการเยียวยาแต่จากนั้นก็เงียบหายไปจนเป็นข่าวกระพือขึ้นมาอีกในเวลานี้
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะสรุปสุดท้ายอย่างไร วรยุทธ อยู่วิทยา จะกลับมามอบตัวสู้คดี หรือขออภัยยอมรับการลงโทษในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และรับโทษไม่กี่ปี หรือจะเลือกเดินหน้าหลบหนีคดีตลอดไป เพราะมั่นใจในองค์ประกอบทุกอย่างเพียบพร้อม และการใช้ชีวิตหรูหราในต่างประเทศโดยไม่ถูกจับกุม แต่นั่นก็เสี่ยงต่อกระแสต่อต้านจากสังคมที่อาจกระทบต่อธุรกิจจนขยายวงกว้างหรือไม่ และที่สำคัญธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังแบบนี้มันย่อมมี “คู่แข่ง” ที่คอยจ้องกระทืบซ้ำ เชื่อว่าตอนนี้คงชั่งน้ำหนักกันว่าจะเลือกเดินแบบไหน แต่ยิ่งช้ายิ่งกระอัก !!