ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ยันต้องปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปพรรคด้วย ทำให้เป็นของประชาชน ไม่ใช่แค่คนหยิบมือเดียว ชี้ตั้งพรรคต้องเริ่มต้นที่ 5,000 คน ลงขันเงิน 1 ล้าน จ่ายค่าบำรุงพรรคปีละ 365 บาท หยันพรรคค้านเหตุทำงานยากขึ้น ปัดทะเลาะกับประชาธิปัตย์ บอกเพิ่งเชิญ “อภิสิทธิ์” มากินข้าว ระบุไม่ว่าหาก กปปส.กลับ ปชป. หรือไปตั้งพรรคใหม่
วันนี้ (1 พ.ค.) ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเวลา 13.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีบรรดาพรรคการเมืองแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่กำหนดให้ผู้ใดก็ตามที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองจะต้องเสียค่าบำรุงพรรคว่า ในบรรดาเรื่องที่จะปฏิรูปการเมืองนั้นต้องปฏิรูป ไม่เช่นนั้นการเมืองที่วนเวียนเป็นวัฏจักรแบบเก่า และจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติมากมาย การจะปฏิรูปการเมืองต้องปฏิรูปพรรคการเมืองด้วย ส่วนที่ว่าด้วยเรื่องปฏิรูปพรรคการเมืองหรือนักการเมืองนั้นก็คือ เราต้องตัดสินใจได้แล้วว่าเราต้องทำการเมืองให้เป็นการเมืองของประชาชน ไม่ใช่การเมืองที่อยู่ในมือของคนหยิบมือเดียวเล็กๆ แล้วประชาชนเป็นผู้ฟัง เป็นผู้เชื่อ เป็นผู้ตาม เป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ได้แล้ว ประชาธิปไตยต่อไป ต้องเป็นการเมืองของประชาชนทุกสาขาอาชีพ การที่เราจะทำการเมืองให้เป็นของประชาชน องค์กรสำคัญที่เราต้องดำเนินการ คือ พรรคการเมือง การปฏิรูปครั้งนี้ เรามุ่งมั่นทำพรรคการเมืองให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การที่พรรคการเมืองเป็นของประชาชน คือ ต้องให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองจริงๆ ประชาชนไม่ใช่แค่มาเป็นส่วนประกอบ หรือตัวประกอบแล้วประชาชน คือตัวจริงเจ้าของจริงของพรรคการเมือง การที่ประชาชนจะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองได้ คือ ต้องมีประชาชนจำนวนมากที่มีความคิด มีอุดมการณ์ทางการเมืองในแนวทางเดียวกันร่วมกันตั้งเป็นพรรคการเมือง ส่วนที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) บอกว่า ประชาชน 500 คนร่วมกันตั้งพรรคการเมืองได้ แต่ 500 คนนี่ประชาชนแทบจะไม่ได้หุ้นเลย เอาแค่คนที่อยากเป็น ส.ส.ลงชื่อร่วมกันก็ 500 แล้ว ขั้นเริ่มต้นอย่างน้อยต้องบังคับไว้เลยว่า ต้องมีประชาชนจำนวน 5,000 คนมาร่วมกันลงขันเอาเงินประเดิม 1 ล้านบาท ตั้งพรรคการเมือง และก่อนที่จะมีการเลือกตั้งจะต้องมีประชาชนไม่น้อยกว่า 1 แสนคน ควักเงินออกมาเลย มาร่วมลงทุนในการตั้งพรรค ตนเสนอเลยว่าเงินที่เขาจะต้องจ่ายในฐานะที่เป็นของพรรคจ่ายค่าบำรุงแต่ละปีอย่างน้อย 365 บาท หรือวันละ 1 บาท ทุกคนจะมีสิทธิเท่ากันเพราะจ่ายค่าบำรุงพรรค
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การที่พรรคการเมืองออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการจ่ายเงินค่าบำรุงพรรคนั้น ตนก็เข้าใจ เพราะจะทำให้เขาทำงานยากขึ้น ที่แล้วมานักการเมืองมีแต่เอาตังค์ให้ประชาชน จ่ายให้ประชาชน ช่วยมาเป็นสมาชิกพรรค เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ใครจะเป็นเจ้าของพรรคต้องออกเอง ออกให้ไม่ได้ ผิดกฎหมายตนเข้าใจว่าเรื่องนี้ทำยาก แต่ประเทศไทยจะคิดเอาแต่ง่ายๆ เอาแต่สะดวกต่อไปไม่ได้ มันต้องทำเรื่องยาก มันต้องทำเรื่องที่ไม่สะดวกแล้ว แต่ว่ามันเป็นการกระทำที่ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับประเทศเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นการจะมาพูดว่าเสียค่าบำรุงพรรค 100 บาทมันสั้นเกินไป แต่ถ้ามองไปถึงว่าทั้งหมดที่ทำก็เพราะต้องการให้พรรคการเมืองเป็นพรรคของประชาชน คือใครเป็นเจ้าของเงินค่าใช้จ่ายเขาก็ทำหน้าที่ เป็นเจ้าของพรรค มันไม่ใช่แค่เสียเงิน เขาจะต้องเลือกหัวหน้าพรรคเลือกกรรมการบริหารพรรค เขาจะต้องเป็นผู้คัดเลือกคนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ใช่เป็นการเลือกจากหัวหน้าพรรคเลือกจากส่วนกลางแล้วส่งมา
เมื่อถามว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อพรรคประชาธิปัตย์บ้างหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับตนเพราะตนลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มานานแล้วตั้งแต่ออกมาชุมนุม และไม่ได้กลับไปแล้ว ตนไม่กังวลและสิ่งที่ตนออกมาพูด เพราะไม่ได้พูดเพื่อพรรคการเมืองไหนๆ ตนพูดเพื่ออนาคตของประเทศไทย และคงไม่บาดหมางกับใคร วันนี้เราสามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยโดยไม่ทะเลาะกับใครก็ได้ ตนไม่ได้ทะเลาะกับใคร และเมื่อไม่กี่วันมานี้ตนก็เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาทานข้าวด้วยเลย
เมื่อถามอีกว่า การที่บรรดาพรรคการเมืองออกมาแสดงความเห็นค้าน เกรงเพราะกลัวจะเสียคะแนนนิยมนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ตรงนี้ตนคงไม่ขอวิจารณ์ใครทั้งนั้น เพราะเดี๋ยวจะกระทบกันมาก แต่คิดว่าความเห็นของพวกตนกับนักการเมืองแตกต่างกันได้เหมือนคราวที่แล้ว ที่นักการเมืองต่างก็ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแต่เราประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ เขาอาจจะมองว่ารัฐธรรมนูญที่ร่างออกมามันไม่เป็นประชาธิปไตยในฝัน ส่วนเรามองว่ารัฐธรรมนูญ ที่ร่างออกมาเพื่อต้องการปฏิรูปประเทศ ตรงนี้มองต่างกันได้
ส่วนกรณีที่สมาชิก กปปส.บางคนไปร่วมกิจกรรมกับทางพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสุเทพกล่าวว่า เมื่อเสร็จสิ้นการชุมนุมแล้วคนเหล่านั้นก็สามารถที่จะกลับไปในจุดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เกษตรกร หรือนักการเมือง และเมื่อเวลานี้มีร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง นักการเมืองออกมาแล้ว ใครที่ชอบพรรคไหน เขาก็อาจกลับไปพรรคนั้น ส่วนที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์เขาก็กลับไปที่พรรค หรือใครจะอยากไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ผูกมัดกันแล้ว แต่ในส่วนของมูลนิธิฯ ใครก็สามารถเข้ามาเป็นสมาชิกได้ แต่ต้องเสียค่าบำรุงด้วยอย่างน้อยปีละ 365 บาท