รองหัวหน้า ปชป.จี้ สปท.คว่ำร่างกฎหมายคุมสื่อ เหตุไม่มีหลักประกันไม่แทรกแซง แนะจับเข่าคุยเพื่อหาทางออกยึดประโยชน์ส่วนร่วม ชี้หากผู้ร่างมีทัศนคติลบ อาจแก้ไขได้ยาก
วันนี้ (30 เม.ย.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ในวันที่ 1 พ.ค.ว่า การที่สื่อมวลชนจำนวนมากออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องที่จะกระทบต่อการทำหน้าที่ที่อาจจะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องกระทบการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสังคมส่วนรวมและประชาชน จึงอยากชี้ให้เห็นว่าทำไมสื่อถึงออกมาคัดค้าน เพราะในอดีตถึงแม้ไม่มีกฎหมายในลักษณะนี้เกิดขึ้น ไม่มีกฎหมายที่ออกมาคุมสื่อชัดเจน แต่ผู้มีอำนาจรัฐบางยุคบางสมัยก็ใช้อำนาจรัฐของตัวเองเข้าไปข่มขู่คุกคามสื่อมวลชนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การครอบงำมาแล้ว โดยใช้อำนาจรัฐเข้าไปข่มขู่โดยตรง ใช้อำนาจเถื่อนต่างๆ หรือการใช้อำนาจรัฐสั่งการให้ข้าราชการบางส่วนเข้าไปข่มขู่คุกคาม เช่นการตรวจสอบภาษีสื่อ ทั้งที่ไม่เคยมีการตรวจสอบภาษีสื่อมาก่อน แต่วันดีคืนดีเมื่อสื่อตรวจสอบผู้มีอำนาจรัฐมากๆ ก็ใช้อำนาจรัฐเข้าไปดำเนินการทุกวิถีทาง ดังนั้นความพยายามออกกฎหมายคุมสื่อเช่นนี้ จึงไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่เกิดการแทรกแซงครอบงำสื่อผ่านกระบวนการต่างๆ ทางกฎหมายจะเกิดขึ้นอีกเหมือนในอดีต
นายองอาจกล่าวต่อว่า ส่วนการเปิดให้มีตัวแทนภาครัฐ เข้ามาทำหน้าที่กำกับควบคุมจริยธรรมสื่อ โดยจะควบคุมไปถึงการนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณาในทางปฏิบัติแล้วการที่สื่อเสนอข่าวตรวจสอบทุจริตของผู้มีอำนารัฐจะถือว่าเป็นการเสนอข่าวที่กระทบต่อบุคคลอื่นจะเข้าข่ายขัดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ตรงนี้เป็นประเด็นที่ควรจะพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนที่ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน เสนอให้ออกบทเฉพาะการเพิ่มเติมให้ตัวแทนภาครัฐนั่งอยู่ในสภาการวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ในวาระ 3 ปี ได้แค่ 2 เทอมเท่านั้น คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการต่อรองว่าจะอยู่กี่ปี ประธาน กมธ.ด้านสื่อฯ กำลังหลงประเด็น เพราะเป็นเรื่องของหลักการว่าเราควรมีตัวแทนภาครัฐอยู่ในสภาวิชาชีพสื่อฯหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าไม่ควรมีตัวแทนภาครัฐอยู่ในสภาวิชาชีพสื่อฯ
นายองอาจกล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นเห็นว่าการพิจารณาของที่ประชุมสปท.ควรพิจารณาด้วยว่าร่างกฎหมายนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 60 หรือไม่ โดยเฉพาะในหมวด 3 เรื่องสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ที่บัญญัติไว้ 2 มาตรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชนโดยตรง คือ มาตรา 34 บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูดการเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวกระทำมิได้ และมาตรา 35 บัญญัติว่า บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วร่างกฎหมายนี้ ยังมีประเด็นควรบทบทวนแก้ไขอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1. รูปแบบองค์ประกอบที่มาของคณะกรรมาธิการวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ 2. คำนิยาม ความหมายคำว่าสื่อมวลชน และ 3. บทกำหนดโทษต่างๆ
“ผมคิดว่าที่แก้ไขได้ยาก คือ ทัศนคติของผู้ร่างกฎหมายที่มีทัศนคติในเชิงลบ คิดว่าการใช้อำนาจควบคุมสามารถทำให้สื่ออยู่ภายใต้การควบคุมได้ ตรงนี้เป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง เมื่อมีทัศนคติอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มต้น กระบวนการในการพิจารณาร่างกฎหมายจึงออกมาในลักษณะพยายามใช้อำนาจรัฐในการควบคุม ตรวจสอบมากกว่าที่จะใช้การพิจารณาร่วมกันกับสื่อมวลชนว่าจะอย่างไร ที่จะให้ทั้งสื่อมวลชนและผู้ร่างกฎหมายมีทางออกที่เกิดประโยชน์จริง ดังนั้นผมจึงขอเสนอให้ที่ประชุม สปท.ใช้วิจารณญาณพิจารณาร่างกฎหมายนี้ให้รอบคอบ เพื่อให้ได้กฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เพราะสื่อจำนวนมากแสดงออกคัดค้านกฎหมายนี้อย่างชัดจน สปท.จึงไม่ควรหักด้ามพร้าด้วยเข่า และที่ประชุม สปท.ควรที่จะปฏิเสธไม่รับร่างกฎหมายนี้ และใช้โอกาสนี้แสวงหาจุดร่วมกันกับสื่อมวลชนเพื่อออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริงต่อไป” นายองอาจกล่าว