เมืองไทย 360 องศา
หากบอกว่านี่คือ “ไฟต์บังคับ” ก็ได้สำหรับ “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ล่าสุดมีรายงานว่า ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเพิกถอนออกจากตำแหน่งทางการเมือง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบส่งมอบคืนหนังสือเดินทางให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่เป็นนักโทษหนีคดีอาญา
แม้ว่าตามกฎหมายแล้ว สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ถือว่าหมดอนาคตทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะด้วยข้อหาและความผิดดังกล่าว ทำให้เขาไม่อาจข้องแวะทางการเมืองได้เลย เรื่องจะลงสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ ตามกติกาใหม่เลิกคิดเลิกฝันไปอีกนาน
ขณะเดียวกัน สำหรับเขาเองก็รับรู้ชะตากรรมดีว่าทุกอย่างมัน “จบแล้ว” เพราะทันทีสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติด้วยเสียงท่วมท้นถอดถอนและตัดสิทธิ์ทางการเมือง เขาก็ประกาศยุติบทบาททางการเมืองออกมาเลย นั่นเพราะรู้ดีว่าด้วยผลทางกฎหมายที่มีผลทันที และด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญใหม่ที่เข้มงวดเข้าข่ายคุณสมบัติต้องห้ามดักไว้อีกชั้นหนึ่ง ดังนั้น ตามมาด้วยการส่งหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์
จะว่าไปแล้วสำหรับ “อ้ายปึ้ง” คนนี้ หรือ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ไม่ว่าจะมองมุมไหนด้วยศักยภาพส่วนตัว และบุคลิกภาพการได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่า “มาไกลเกินฝัน” แล้ว และน่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ “นายจัดให้” ก็ไม่มีทาง ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เกิดคำถามตามมาเช่นเดียวกันมามันก็ต้อง “แลกเปลี่ยน” กับ “ภารกิจ” บางอย่างด้วยหรือไม่ จนต้องมาพบจุดจบเช่นนี้
อย่างไรก็ดี ในเมื่อไหนๆ ก็ต้องไปอยู่แล้ว ก่อนไปก็ขอสร้างกระแสให้เกิดการเคลื่อนไหวออกมาให้สังคมได้เห็นสักหน่อย อย่างน้อยก็ให้เกิดผลในด้านความรู้สึกจากฝ่ายตรงข้ามได้ไม่มากก็น้อย เพราะต้องยอมรับความจริงเหมือนกันว่า สำหรับ “อ้ายปึ้ง” ของเราคนนี้ที่ผ่านมาได้สร้างสีสันที่ออกไปทาง “ยียวน” กวนประสาทได้ไม่เบา เพราะหลังจากย้ายค่ายออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ จากเดิมที่ใครจะคิดว่าจาก “คนที่เคยด่า ทักษิณ” มีคดีต่อกันในศาลจะกลายมาเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในเวลาต่อมา แบบนี้ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
พิจารณาในมุมการเมืองมันก็เหมือนถูกทำให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยได้ “ปลดสายล่อฟ้า” ออกไปพ้นจากพรรคแล้วคนหนึ่ง อย่างน้อยคนที่เคยยืนวิพากษ์วิจารณ์ทหาร และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็หมดไปอีกคนหนึ่ง เหมือนกับว่าได้ “ลดกระแส” ลงไปได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากสัญญาณกันแบบ “เดาสุ่ม” ที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลรองรับนัก เพียงแต่คาดการณ์ความน่าจะเป็นไปได้เหมือนกันว่านี่คือ “สัญญาณปรองดอง” จากฝ่ายเจ้าของพรรคเพื่อไทย ต้องการ “แตะมือ” กับฝ่าย “อำนาจ” ในปัจจุบัน หลังจากได้เห็น “เงาดำทะมึน” อยู่ข้างหน้า ซึ่งยากที่จะฝ่าไปได้ง่ายๆ อีกทั้งในเส้นทางข้างหน้าด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญใหม่ที่ว่าด้วย “บทเฉพาะกาล” มันก็พอมีโอกาสเชื่อมต่อถึงกันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งที่กำหนดเอาไว้ตามโรดแมปในปลายปีหน้าต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2562
แม้ว่าเวลานี้จะด้วยคำสั่งที่เข้มงวดของรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังไม่เปิดไฟเขียวให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมและเปิดประชุมพรรคได้ ยังไม่อาจได้เห็นโฉมหน้าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ มีแต่คนที่ “เสนอหน้า” กันออกมาให้ได้รับการยอมรับกันบ้าง ที่เห็นความเคลื่อนไหวมากกว่าใคร ก็คือ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นต้น ซึ่งหากเป็นคนนี้จริงมันก็พอเห็นเค้าลางความเป็นไปได้เหมือนกันว่าจะมีรายการเชื่อมถึงกันแบบ “ไร้รอยต่อ” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมานานกับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โอกาสมันก็เป็นไปได้ภายใต้เหตุผล “ปรองดองเพื่อชาติ” ซึ่งก็งดงามสวยหรูดูดีเสียด้วย
ดังนั้น แม้ว่าการลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาจจะไม่สำคัญ และมีความหมายมากนัก เพราะถึงไม่ลาออกก็ต้อง “ยืนตาย” อยู่แล้วจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองห้าปี แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ต้องการสื่อให้เห็นว่าได้เอา “สายล่อฟ้า” ออกไปเป็นการลดโทน และพร้อมพูดคุยคนข้างนอกมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเจรจากำลังจะเริ่มต้นขึ้น !!