ประธาน กมธ.ขับเคลื่อนปฏิรูปสื่อสารมวลชน สปท.เชื่อที่ประชุมเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสื่อฯ แน่ แต่ยันกฎหมายยังแก้ได้ในชั้นรัฐบาลและ สนช. คาดไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ยันมี กมธ.สายสื่อหนุนออกใบอนุญาต อ้างสร้างเกียรติ ศักดิ์ศรี ทำให้กำกับกันเองได้ดี ชี้เหมือนสิงคโปร์ บอกให้ครอบคลุมแฟนเพจแค่คิดเผื่อ ใครทำธุรกิจและมีผลต่อสาธารณะต้องโดนด้วย ใครไม่อยากลงทะเบียนให้รีบตั้งสื่อ
วันนี้ (27 เม.ย.) ที่รัฐสภา พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวถึงกรณีที่ สปท.เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ในวันที่ 1 พ.ค. ว่าเชื่อว่า สปท.จะให้ความเห็นชอบ แต่ในกระบวนการจัดทำกฎหมายยังมีหลายขั้นตอน เช่น ผ่านรัฐบาล, สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งสามารถปรับแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ และยืนยันว่าเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวจะไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากระหว่างจัดทำนั้นมีนักกฎหมายที่คอยดูแลอยู่ แต่หากมีเนื้อหาใดที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เช่น มาตราว่าด้วยการไม่ทำกฎหมายที่สร้างภาระหรือละเมิดสิทธิ เสรีภาพเกินความจำเป็นนั้น ก็อาจปรับแก้ไขในประเด็นที่ขัดดังกล่าวได้
“ผมเชื่อว่าร่างกฎหมายจะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะหากทำขัดก็เท่ากับว่าผมเหนื่อยฟรี และเจ๊งไม่เป็นท่า ที่ผ่านมาการพิจารณาชั้นอนุกรรมาธิการฯ มีกรรมาธิการที่มาจากสายสื่อสนับสนุนให้ออกใบอนุญาต เพราะมองว่าจะมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีมากกว่า อีกทั้งจะสร้างความรักองค์กร และเกิดการสร้างสรรค์ และเชื่อว่าเมื่อมีใบอนุญาตแล้วจะทำให้เกิดการกำกับกันเองได้ดีระดับหนึ่ง สื่อมวลชนที่ผ่านมาแม้จะมีการกำกับกันเอง แต่ยังทำได้ไม่ดี ดังนั้นกรณีของใบอนุญาต และมาตรการตามกฎหมายนี้จึงเป็นการจัดระเบียบสื่อมวลชน เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ที่มีการจัดระเบียบการนำเสนอข่าวสาร ทำให้รัฐบาลเขามีเสถียรภาพ ประเทศเขาพัฒนา มีความเจริญ ซึ่งต่างจากประเทศไทย” พล.อ.อ.คณิตกล่าว
พล.อ.อ.คณิตกล่าวถึงการกำหนดนิยามของกฎหมายที่ครอบคลุมถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เปิดเว็บเพจ หรือ เพจเฟซบุ๊คเพื่อนำเสนอข่าวสารว่า ถือเป็นการเขียนกฎหมายเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล ไม่ล้าหลัง การเขียนกฎหมายจึงต้องคิดเผื่อ อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องการพัฒนาประเทศให้เป็นยุค 4.0 ดังนั้น กรณีสื่อออนไลน์ที่นำเสนอข้อมูลและมีผลกระทบจำนวนมาก การเขียนกฎหมายด้านสื่อฯ ต้องเขียนให้ครอบคลุม
“สื่อออนไลน์ หรือเฟซบุ๊ก ที่จะเข้าข่ายกฎหมายนี้ ต้องกลับไปดูคำนิยามในมาตรา 3 ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากไม่อยู่ก็ไม่ต้อง เช่น ผมมีเฟซบุ๊กและส่งข่าวปกติไม่ต้อง แต่หากเป็นธุรกิจและมีผลกระทบต่อสาธารณะต้องถูกกำกับ อีกทั้งเมื่อกฎหมายนี้บังคับใช้ เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรู้กฎหมายและเดินเข้ามาลงทะเบียนกับทางหน่วยงานหรือสภาวิชาชีพสื่อมวลชน แต่หากใครไม่ต้องการลงทะเบียนก็ให้รีบตั้งสื่อของตนเอง เพราะตามร่างกฎหมายจะอนุโลมให้สื่อที่ตั้งก่อนกฎหมายนี้ออกจะได้รับใบอนุญาตโดยอัตโนมัติ” พล.อ.อ.คณิตกล่าว