เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่า “กรรม” ไล่หลังเร็วมากเหมือนกัน สำหรับชายที่ชื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” จากก่อนหน้านี้เคยยิ่งใหญ่ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีบทบาทสำคัญเป็นมือไม้หลักในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำหรับการฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่า ตัวเองคงไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นในอดีตคงไม่ระห่ำเกินบรรยายแน่นอน
หากบอกว่า “กรรมตามทัน” เห็นจะไม่ผิดนัก จากเดิมที่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีขอบข่ายอำนาจกว้างขวางเร่งรัดดำเนินคดีอาญา กับทั้งข้าราชการ และนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชุดก่อน มาบัดนี้ทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตร กลายเป็นว่า ธาริต เพ็งดิษฐ์ กำลังถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดียาวเป็น “หางว่าว” ทั้งคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ คดีทุจริต ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯลฯ ชนิดที่เรียกว่าระยะหลังต้องเดินขึ้นลงบันไดศาลเป็นว่าเล่น
ล่าสุด ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้สรุปความผิดของเขาว่า “ร่ำรวยผิดปกติ” และถูกสั่งอายัดทรัพย์สินไว้เบื้องต้นจำนวนประมาณ 90 ล้านบาท จากทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 346 ล้านบาท
จากการเปิดเผยของ ปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบคดีของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ได้เปิดเผยเรื่องดังกล่าวอีกว่า ทรัพย์ของ ธาริต ได้ยักย้ายถ่ายเทไปยังญาติ คนใกล้ชิด เช่น ภรรยา ลูก หลาน หรือแม้กระทั่งนายตำรวจติดตาม อย่างไรก็ตาม ทาง ป.ป.ช. จะเปิดโอกาสให้ชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินก่อน หากชี้แจงไม่ได้ก็จะถูกอายัดเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 เมษายน ได้มีหนังสือชี้แจงคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ จาก พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา (เนื่องจาก ธาริต ถูกคำสั่งคสช. ย้ายมาเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 27 มิถุนายน 57) โดยเป็นการลงนามคำสั่งไล่ออกจากราชการให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นไปตามมติ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาได้ลงโทษตามกฎหมายมาตรา 80(4) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลทางกฎหมายโดย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรณีคำสั่งไล่ออกจากราชการดังกล่าว ถือว่าสิ้นสุดแล้ว หมดสิทธิ์อุทธรณ์ได้อีก เพราะเป็นการลงโทษทางวินัยตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้แจ้งมา
กรณีแบบนี้สำหรับข้าราชการคนหนึ่ง ถือว่าน่าเจ็บปวด เพราะนั่นหมายความว่า ผลจากโทษถูกไล่ออกจะไม่ได้รับเงินบำนาญหลังเกษียณอายุราชการ หรือพ้นจากราชการไปแล้ว
นี่ว่ากันเฉพาะกรณีนี้คดีนี้ ยังมีคดีอาญาอีกหลายคดีที่รอเขาอยู่ และคดีก็กำลังอยู่ในชั้นศาลแล้ว และตามเส้นทางแล้วหากเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตก็จะต้องเดินไปที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือ “ศาลปราบโกง” ที่เวลานี้เริ่มทำงานแล้ว และจัดการนำคนทำผิดเข้าคุกมาแล้วหลายราย หมาดๆ ที่จำกันได้ก็คือกรณีของ “จุฑามาศ ศิริวรรณ” อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งถูกยึดทรัพย์สินและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 66 ปี (จำคุกจริงไม่เกิน 50 ปี) ในคดีสินบนข้ามชาติ
ตามขั้นตอนเชื่อว่า ธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็น่าจะเดินไปที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือศาลปราบโกง ดังกล่าวนี่แหละ ซึ่งนั่นหมายถึงในบั้นปลายต้องลุ้นในเรื่อง “คุก” กันด้วยหัวใจระทึก
ขณะเดียวกัน กรณีของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อาจจะเป็นอุทาหรณ์ หรือตัวอย่างให้กับข้าราชการอีกหลายคนที่ “รับใช้การเมือง” เพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง หรือเพื่อความอยู่รอดบางอย่าง แต่นาทีนี้ทุกอย่างได้พลิกผันกลายเป็นตรงข้าม เมื่อ “กรรม” กำลังตามมาเช็กบิลแบบเร็วทันใจ และเชื่อว่า โอกาสยังเหลืออีกไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างก็ต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาล ซึ่งในปัจจุบันคือ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือ “ศาลปราบโกง” ที่กำลังเดินเครื่องอย่างรวดเร็ว และสำหรับ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีชะตากรรมแบบนี้ คงคาดว่าระบอบทักษิณที่มาในรูปแบบ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะพลังทลายจนตั้งตัวไม่ทันอย่างที่เห็น
เอาเป็นว่าทุกอย่าง “เป็นไปตามกรรม” ก็แล้วกัน !!