xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” ปลื้มยูเอ็นจัด “ไทย” มีความสุขอันดับ 3 ของเอเชีย วอน ปชช.เชื่อมั่นรัฐบาลต่อไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ปลื้ม “ยูเอ็น” จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสุขอันดับ 2 ของอาเซียน และ อันดับ 3 ของเอเชีย โวถ้าปรองดองกันคะแนนจะยิ่งสูงกว่านี้อีก วอนประชาชนได้โปรดเชื่อมั่นในการทำงานรัฐบาลต่อไป ยันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

วันนี้ (21 เม.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า มีข่าวที่เป็นข่าวดี ก็คือการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกประจำปี 2017 ของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ที่จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด อันดับ 2 ของอาเซียน อันดับที่ 3 ของทวีปเอเชีย โดยการจัดอันดับวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประชาชาติ อายุขัยเฉลี่ยของประชากร เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตและทำงาน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม ความโปร่งใส ในปีนี้ประเทศของเราขยับดีขึ้นเป็นลำดับ ก็ดีกว่าประเทศอื่นๆ ของโลก อย่างเห็นได้ชัด สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ไทยเราเป็นแชมป์ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกด้วย

นายกฯ กล่าวต่อว่า เราไม่จำเป็นต้องพอใจในตำแหน่งเหล่านี้ แต่ตนรู้ว่าเรายังสามารถจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมพลังความสามัคคี พลังประชารัฐนั้น ทำให้ประเทศมีคะแนนหรือมีอันดับที่สูงกว่านี้ได้ เพียงแค่เราต้องปรองดองกัน เพื่อไปสู่ความสุข ความยั่งยืน ของคนไทยทุกคน เราจะต้องรับฟังความเห็นต่างที่สร้างสรรค์ โดยพยายามเข้าอกเข้าใจกัน ร่วมกันแก้ไขปัญหา เข้าใจอุปสรรคขวากหนามที่มีอยู่ตั้งแต่ในอดีต แล้วเราก็ต้องไม่สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ช่วยกันทำสังคมของเราให้น่าอยู่ โดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน สังคมใกล้เราก่อน ทำหน้าที่ของทุกคนให้ดี ของตัวเอง ให้เป็นพลเมืองดี แล้วหันไปมองผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม จดจำแต่ความดีของเขา แล้วก็มองข้ามความผิดพลาดที่เขาจะต้องแก้ไข ถ้าเราทุกๆ คนทำได้เช่นนี้แล้ว ใครจะจัดให้เราอยู่อันดับไหนก็คงไม่มีความสำคัญ เพราะว่าเรามีความสุขเสียแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนคนไทย ได้โปรดให้ความเชื่อมั่นในการทำงานของตน ของรัฐบาล ของ คสช.ต่อไป เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แน่นอน ปัญหามันเยอะ การทำงานมันก็ต้องมีอุปสรรค มีความคิดเห็นต่างมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราทุกคนมุ่งไปสู่ว่า เราจะทำให้ประเทศชาติเราปลอดภัยอย่างไร ประชาชนเรามีความสุขได้อย่างไร เหล่านั้นมันจะทำให้ทุกอย่างที่เป็นความขัดแย้งกลับไปสู่ความร่วมมือให้ได้มากที่สุด

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 21 เมษายน 2560


สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2560 ก็ผ่านพ้นมาแล้วด้วยดี ในปีนี้นอกจากรัฐบาลจะมุ่งรณรงค์ ภายใต้แนวคิดสงกรานต์แบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัยแล้ว รัฐบาลก็ยังมีนโยบายที่จะยกระดับประเพณีสงกรานต์ของไทย ให้เป็นงานระดับโลก (World Event) โดยจัดให้มีขบวนพาเหรดประชาสัมพันธ์งานนี้ ไปทั่วโลก และมีการประกวดเทพีสงกรานต์นานาชาติเป็นครั้งแรกของประเทศ เพื่อสืบสานแนวคิดแบบไทยๆ สู่สากล ผมเองรู้สึกปลาบปลื้มใจนะครับ ที่ได้เห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่งชุดไทย ทักทายด้วยการไหว้และยิ้มแบบไทย ๆ บนเวทีประกวดเทพีสงกรานต์ในครั้งนี้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีการเชิญคณะทูตานุทูตและภริยา จาก 17 ประเทศ เข้าร่วมงานสงกรานต์ที่วัดปทุมวนาราม มีการร่วมจัดสงกรานต์อาเซียน ณ จังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจะสานความสัมพันธ์ร่วมกันด้วยมิติทางวัฒนธรรม รวมทั้งการจัดงานสงกรานต์ในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และ ออสเตรเลีย เป็นต้น ทั้งนี้ ผมเชื่อว่า การที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมกิจกรรมสงกรานต์นั้น คงไม่ใช่เพียงมาร่วมการละเล่นรดน้ำ เพื่อความสนุกสนาน คลายร้อนเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ การได้สัมผัส ซึมซับประเพณีอันงดงามของเรา ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันในรายละเอียดในแต่ละท้องถิ่นที่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมายาวนาน ควรค่าแก่อนุรักษ์การศึกษา และสืบสานให้คงอยู่คู่สังคมไทย ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป สำหรับ รัฐบาลแล้วความสำเร็จ ในการจัดงานเทศกาลสงกรานต์นั้น นอกจากจะเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัวของไทยแล้ว อีกภารกิจหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก คือการอำนวยความสะดวกและการสร้างบรรยากาศความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับทุกคน รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสัญจร ของพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาและนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนี้ ผมก็ไม่อยากจะกล่าวซ้ำนะครับ เรื่องสถิติการสูญเสียว่ามากขึ้นหรือน้อยลง เพราะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากความประมาทที่เราน่าจะสามารถป้องกันได้นั้น มีเพียงรายเดียวผมก็ยอมรับไม่ได้นะครับ ทั้งนี้ ผมได้ให้เก็บข้อมูลทางสถิติที่มีรายละเอียด และหลากหลายมิติ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้นำไปทำงานแก้ไขอย่างบูรณาการบนข้อมูลพื้นฐานชุดเดียวกัน สำหรับในการปรับปรุงสภาพถนน พื้นผิวจราจร สัญญาณไฟ ป้ายเตือน ทางแยก ทางร่วม ทางโค้ง สะพาน จุดกลับรถ จุดตัดทางรถไฟ และอื่น ๆ ให้มีความเหมาะสม ตามหลักวิชาการ และที่สำคัญแล้วก็เป็นประเด็นสังคมในช่วงที่ผ่านมา คือ การพิจารณากฎหมายทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนนให้ปลอดภัย ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเป็นจริงทางสังคม ผมเองนั้นเข้าใจนะครับ ว่าการจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุขนั้น เราต้องอาศัย ทั้งกฎหมายจารีตประเพณีและกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยกฎหมายจารีตประเพณี ก็คือ แนวทาง หลักปฏิบัติที่ดี ที่ทำต่อ ๆ กันมาสม่ำเสมอและนมนาน ด้วยเห็นว่ารู้สึกว่ามันถูกต้องจึงปฏิบัติตามกัน โดยไม่รู้สึกผิด แต่ถ้าเรื่องใดที่กฎหมายจารีตประเพณี ไม่สามารถรักษาไว้ ซึ่งความสงบเรียบร้อยและจำเป็นต้องมีกฎหมายลายลักษณ์อักษรเข้ามาบังคับใช้ เพิ่มเติม
ดังนั้น ผมเห็นว่าเราน่าจะมาถึงจุด ๆ ที่ควรจะต้องทบทวนกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ให้มีความสมดุล และเป็นไปได้ ในโลกของความเป็นจริงนะครับ ที่ต้องเหมาะกับสังคมบ้านเราด้วย มีเวลาในการเปลี่ยนผ่าน เพื่อไปสู่จุดหมายสุดท้ายที่เราต้องการ ก็คือการอยู่ร่วมกันโดยสวัสดิภาพ และก็เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว สิ่งที่เราจะต้องร่วมกันทำต่อไป ก็คือในเรื่องของ การปลูกจิตสำนึก และการสร้างวินัยจราจร ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่สุดนะครับ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดได้รับการยอมรับ เชื่อถือจากประชาชน

พี่น้องประชาชนที่รักครับ การพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุลและยั่งยืนนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแนวทางประเทศไทย 4.0 ที่ผ่านมา การพัฒนาของเรานั้น อาจจะมุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก โดยอาจจะลืมมิติสิ่งแวดล้อม นะครับ ไม่มากเท่าที่ควร จนนำไปสู่การเสียสมดุลในปัจจุบัน วันนี้ ผมก็ไดเห็นพัฒนาการที่ดีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่รัฐบาลไม่ได้มีเพียงมาตรการเข้มงวดด้านการจราจรเท่านั้น แต่ยังกำหนดมาตรการจัดระเบียบสังคมอื่น ๆ ที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของขยะ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การที่เราสามารถกำจัดขยะมูลฝอย ตกค้าง สะสมมานานมากกว่า 20 ล้านตัน จากทั้งหมด 30 ล้านตัน การกำหนดพื้นที่รวบรวมของเสียอันตราย 83 แห่งทั่วประเทศ เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการ ถูกหลักวิชาการ และการรณรงค์เพื่อลดปริมาณการเกิดขยะมูลฝอย ในภาพรวมของประเทศ เฉลี่ยให้ลดลง ร้อยละ 5 หรือไม่เกิน 23 ล้านตันต่อปี เป็นต้นนะครับ เหล่านี้ต้องร่วมมือกันให้มาก วันพรุ่งนี้ 22 เมษายน เป็นวันคุ้มครองโลก ซึ่งเป็นวันสำคัญทางสิ่งแวดล้อมเพื่อเตือนใจให้ชาวโลก ทุกคนมีจิตสำนึกช่วยกันปกป้องดูแลโลกของเรา ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและหายนะต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผมก็ถือโอกาสนี้นะครับ เชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกท่าน ได้ร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจก อย่างจริงจัง บางคนอาจคิดว่าก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องไกลตัวไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับท่านเลย หรือเข้าใจผิดว่าท่านไม่ได้เป็นคนปล่อยก๊าซเรือนกระจก แล้วกลับเห็นว่าการลดก๊าซเรือนกระจกนั้นเป็นเรื่องของภาครัฐ ที่ต้องหาทางควบคุมโรงงาน กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซนี้ออกมาในปริมาณมากๆ ให้เหลือในปริมาณที่เหมาะสม ผมก็อยากเรียนทำความเข้าใจกับท่านเหล่านั้นนะครับ ขอความร่วมมือจากทุกคน ในอนาคตต่อไป สิ่งที่เราควรรู้ คือ เราทุกคนนั้นต่างปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาสู่ชั้นบรรยากาศไม่มากก็น้อย ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะขับรถ เปิดน้ำ เปิดไฟ ต่างเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น ไม่ทางตรง หรือทางอ้อม ยิ่งการผลิตไฟฟ้า การผลิตสิ่งของต่าง ๆ ในโรงงาน การขนส่งที่ใช้พลังงานมากก็จะยิ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมามากและสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากตามไปด้วย ก็จะส่งผลให้เกิดภัยต่าง ๆ ตามมาภายหลังนะครับ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ หรืออากาศร้อนจัด หนาวจัด เหมือนที่เราสัมผัสได้ในทุกวันนี้ ประการต่อไปก็คือคนไทยส่วนมากอาจจะไม่รู้ว่าองค์กรสิ่งแวดล้อมในเยอรมนี ได้จัดอันดับให้ประเทศของเรา เป็น1 ใน 10 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุดในโลก ดังนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ไม่ป้องกันไม่ร่วมมือไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราบ้าง อนาคตอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติที่มากขึ้น บ่อยขึ้น และรุนแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ประการต่อไปประเทศไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับที่ 21 ของโลก แม้เรานั้นจะไม่ได้เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญ และได้เริ่มลงมือลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังแล้ว นับตั้งแต่ได้ไปแสดงเจตจำนงไว้ที่กรุงปารีสในปี 2558 ว่าไทยนั้นจะมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25ภายในปี 2573 ซึ่งก็จะช่วยในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติในอนาคตแก่โลกใบนี้ อันที่จริงแล้วเรื่องก๊าซเรือนกระจกนี้นะครับ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ทั้งยังมีพระราชดำริในเรื่องโลกร้อนมาตั้งแต่ปี 2532 ที่เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและสิ่งแวดล้อมแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อไทยและต่อโลก ทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงได้พระราชทานศาสตร์พระราชาและโครงการตามแนวทางพระราชดำริ หลาย ๆ เรื่อง ให้รัฐบาลและปวงชนชาวไทย ได้น้อมนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวแต่เนิ่นอย่างมีความรับผิดชอบ

ในส่วนของรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเร่งด่วนกับทุกภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากๆ ก่อน ได้แก่ภาคพลังงาน และภาคคมนาคมขนส่ง รัฐบาลส่งเสริมให้ผลิตและใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน การลดการขนส่งทางถนน และส่งเสริมให้มีการขนส่งทางรางให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชน ส่งเสริมการใช้รถไฮบริด รถพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมให้ใช้ไบโอดีเซล และเอทานอลในภาคขนส่งเหล่านี้เป็นต้น นอกจากนั้นได้เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปกป้องธรรมชาติอย่างสมดุล ในขณะเดียวกันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่ป่าที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ เพราะว่าประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากก็จะช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้ แต่การลดก๊าซเรือนกระจกเฉพาะเพียงภาครัฐคงทำอะไรไม่ได้มากนัก ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในลักษณะของประชารัฐไปด้วย

สำหรับในภาคประชาชน ชุมชนนั้น ผมขอยกย่องหมู่บ้านป่าเด็ง ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นตัวอย่างในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเดิมทีนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง จึงต้องใช้เครื่องปั่นไฟ สิ้นเปลืองน้ำมันมาก และต้องตัดไม้มาทำฟืนหุงหาอาหาร ต่อมาสมาชิกหมู่บ้านได้รวมตัวกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยตั้งเครือข่ายรวมใจตามรอยพ่อ จากการระดมสมอง โดยเห็นว่าในหมู่บ้านมีการเลี้ยงวัวนมตามโครงการพระราชดำริ ทำให้มีมูลวัวมากมาย อีกทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรม มีขยะอินทรีย์เป็นจำนวนมาก จึงได้ใช้มูลวัว และขยะอินทรีย์มาทำก๊าซชีวภาพ เพื่อหุงต้มและผลิตไฟฟ้าบางส่วน

นอกจากนี้ ชาวบ้านนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์ เก่าเก็บมาซ่อม เพื่อใช้ใหม่ ทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านป่าเด็งมีไฟฟ้าใช้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟแม้แต่บาทเดียว และประหยัดรายจ่ายจากค่าหุงต้มอีกด้วยที่ใช้ก๊าซ ปัจจุบันเครือข่ายรวมใจตามรอยพ่อของชาวบ้านป่าเด็งนี้ ได้ยกระดับไปสู่สถาบันเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และพลังงานทางเลือก ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แบ่งปันองค์ความรู้ไปสู่ชุมชนอื่นๆ เป็นหลักปฏิบัติ ซึ่งคงไม่ใช่เป็นเพียงหลักการ หรือวิชาการในตำรา นี่คือชุมชนตัวอย่าง ที่ไม่ต้องพึ่งงบประมาณจากรัฐ มีความยั่งยืน มีความสุข จากการน้อมนำศาสตร์พระราชาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม

พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน นำปัญหาเรื่องการต่อสู้ภาวะโลกร้อน และการลดก๊าซเรือนกระจกนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การจัดการขยะของเสีย ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย ดังนั้นเรื่องนี้จึงถือเป็นใน 27 วาระการปฏิรูปประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และต้องนำไปสู่ความสำเร็จให้ได้

ทั้งนี้ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา มีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่จะสร้างแนวทางการปฏิบัติที่ดี และปลูกจิตสำนึกในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งชุมชน เทศบาล หมู่บ้าน ก็ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องเหล่านี้เช่นกัน คือคงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกมาสั่งนะครับ ริเริ่ม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหลานขยายกันออกไปให้กว้างขวางนะครับ ร่วมมือร่วมใจทำกันอย่างจริงจัง จะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

พี่น้องประชาชนครับ แม้ว่าการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืนตามกระแสสากลนั้น จะมีความสำคัญอย่างมาก แต่ไม่ควรทำให้เราหวาดกลัวจนเกินเหตุ จนไม่กล้าไม่ยอมรับโครงการพัฒนาใดๆ ผมเห็นว่าเรายังคงสามารถรักษาสมดุล สำหรับการวางรากฐานอนาคตของประเทศด้านเศรษฐกิจ และสังคม ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ได้ เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้มีความมั่นคงทางรายได้ เศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และฐานรากต้องเจริญเติบโตไปด้วยกัน ลดความเหลื่อมล้ำ สามารถยืนเคียงไหล่กับประเทศในภูมิภาค หรือในโลกได้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ผมขอลองให้นึกถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนเข้ามาเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ และปัญหาทางการเมืองหลายๆ จุดในโลก ที่พร้อมจะขยายวงกว้าง และส่งผลต่อมิตรประเทศ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้เราตระหนักว่าเราจะอยู่นิ่งเฉยๆ หรืออยู่กับที่ไม่ได้ เราต้องก้าวตามให้ทัน หรือก้าวไปให้ไกลกว่า เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือสิ่งที่คาดไม่ถึง รัฐบาลจึงได้ดำเนินมาตรการต่างๆ พร้อมกัน ในหลายๆ ด้าน เพื่อจะวางรากฐานให้กับอนาคตของประเทศตั้งแต่วันนี้ ให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะมีความแข็งแกร่งตั้งแต่ระดับฐานราก โดยยึดมั่นแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นยุทธศาสตร์พื้นฐาน ของทุกๆ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล

ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องที่ถือเป็นการมองอนาคต เพื่อจะเป็นการปลูกฝังรากฐานสำคัญ ซึ่งคือเรื่องคน เตรียมการรองรับการกับท้าทายที่จะเกิดขึ้น เราทุกคนต้องปรับตัวก่อน และต้องสร้างลูกหลานของเราให้พร้อม โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุน ล่าสุด ครม.ได้มีมติอนุมัติโครงการสร้างศูนย์นวัตกรรมแห่งอนาคต หรือ Futurium ขึ้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อให้เป็นศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ของเยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยจะกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหาที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ และโลกใบนี้ได้ เช่น นวัตกรรมการขนส่ง นวัตกรรมหุ่นยนต์ นวัตกรรมการทางเลือก และนาโนเทคโนโลยี เป็นต้น

นอกจากนี้ จะมีการจัดระบบงานวิจัยให้เชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อสร้างบรรยากาศในการพัฒนาบุคลากร และวิชาชีพสายวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนอีกด้วย ขณะที่เยาวชนเองก็จะสามารถเรียนรู้ และเข้าใจถึงสิ่งที่ตนถนัดและชื่นชอบ และเลือกที่จะพัฒนาตนเองเข้าสู่สายอุดมศึกษา หรือสายอาชีพต่างๆ ต่อไปได้อย่างเหมาะสม ส่วนภาคเอกชนนั้นจะได้บุคคลที่มีคุณภาพเข้าไปช่วยงาน และสร้างผลิตภาพที่มีคุณภาพเพิ่มสูงขึ้นด้วย โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 และมีระยะเวลาโครงการ 31 ปี โดยจะมีการพัฒนา Futurium ไปสู่การเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต มีเนื้อหาสาระของนิทรรศการที่สามารถปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และภาคเอกชน เพื่อให้ Futurium นั้น เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

สำหรับการสร้างและบริหารจัดการ Futurium นี้ จะเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ โดยโครงการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และภาคเอกชน ธุรกิจเอกชนสนใจที่จะร่วมลงทุนกับภาครัฐ เพื่อจะร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา มุ่งสู่อาชีพสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการเตรียมพลังคนของประเทศ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และนำพาประเทศก้าวพ้นกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และรายได้ที่สูงขึ้นในเร็ววันนี้

ทั้งนี้ โครงการ Futurium นอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของประเทศแล้ว ก็ยังเป็นโครงการที่สอดรับกับการขับเคลื่อนระบบสเต็มศึกษา หรือ Stem education ของประเทศอีกด้วย ซึ่งระบบนี้เป็นแนวทางจัดการการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 วิชา จากคำว่า Stem วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน รูปแบบของ Futurium นั้น จะช่วยสอนให้นักเรียนได้เข้าใจวิชาสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้นง่ายขึ้น เพราะได้ลงมือปฏิบัติเอง และเห็นภาพจนสามารถนำความรู้ที่ได้รับนั้นไปประยุกต์ในการใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ หรือสามารถนำไปพัฒนากระบวนการ หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงานได้ นับว่าจะเป็นทักษะในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 นี่ได้เลย

สำหรับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ มีนโยบายในการนำ Stem education มาใช้ และพบว่านักเรียนมีความสร้างสรรค์ มีการพัฒนาชิ้นงานได้ดี หากยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร จะยิ่งจะเพิ่มความสามารถ และศักยภาพของนักเรียนได้มากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว

สำหรับประเทศไทยนั้นได้เริ่ม มีการนำ Stem ศึกษามาใช้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นการร่วมมือกันของกระทรวงศึกษาธิการ กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เป็นนโยบายเชิงรุกในการที่จะนำ Stem ศึกษา มาบรรจุไว้ในเนื้อหาวิชาต่างๆ รวมถึงกิจกรรมนอกชั้นเรียน ปัจจุบันครอบคลุมไปทุกพื้นที่เขตการศึกษาแล้ว ได้มีการจัดตั้งศูนย์ Stem ศึกษา และเครือข่ายในการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงครูพี่เลี้ยงที่ช่วยพัฒนาครูผู้สอนกระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย ผมขอชื่นชม เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ขอให้ช่วยผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในวงกว้างให้ยิ่งขึ้น ให้มากที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อช่วยพัฒนาลูกหลานของเราให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญของชาติ เป็นอนาคตของชาติต่อไป ในการนี้รัฐบาลให้การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหลัก ที่จะเป็นรากฐานการพัฒนาสู่อนาคต เมื่อวานนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติได้มีการรายงานความก้าวหน้าของโครงการประชารัฐที่เราจะติดตั้งอินเทอร์เน็ตให้กับพี่น้องประชาชนพื้นที่ 74,965 หมู่บ้าน ทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกันก็จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วย

ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดใช้งานเน็ตประชารัฐ 99 หมู่บ้านเพื่อเป็นการนำร่องทั่วประเทศไปแล้ว และมีเป้าหมายจะติดตั้งให้ได้ทั้งหมด 24,700 หมู่บ้าน ให้ได้ภายในสิ้นปี 2560 เพื่อจะเป็นช่องทางให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้ข่าวสารเข้าถึงข้อมูลจำเป็นในการดำรงชีวิต และสามารถยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตได้อีกทาง

นอกจากนั้น ยังมีโครงการดิจิตัลชุมชน ที่จะเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนเพิ่มรายได้ผ่านการพัฒนานำระบบดิจิตัลเทคโนโลยีมาใช้ในระดับหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกซ์ อี-คอมเมิร์ซ โดยให้ความสำคัญผ่านกลไกโครงการประชารัฐ มีระบบขนส่งผ่านไปรษณีย์ไทยที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว ซึ่งก็จะเพิ่มความสามารถให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย เป็นการโอนเงินขนส่งสินค้า และมีการรับประกันการซื้อขายเพื่อให้มั่นใจว่าได้รับสินค้าตรงตามที่ต้องการ และช่วยป้องกันการฉ้อโกงที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ภาครัฐจะเร่งบูรณาการการทำงานมีการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย มีความมั่นใจเข้ามาใช้ประโยชน์ในโครงการให้ได้มากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย

อีกด้านหนึ่งของการพัฒนาสาธาณูปโภคด้านดิจิตัลเพื่อเสริมสร้างรากฐานสู่อนาคต ก็ได้มีการหารือในการประชุมครั้งนี้คือมีการจัดตั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิตัล หรือดิจิตัลพาร์คแลนด์ ที่ อ.ศรีราชา ซึ่งจะเชื่อมโยงกับพื้นที่อีอีซี สนับสนุนกิจกรรมต่างๆในอีอีซีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยดิจิตัลพาร์คนี้จะเป็นพื้นที่สร้างนวัตกรรมของประเทศโดยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆในการจัดตั้งสถาบันพิเศษด้านดิจิตัล เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญให้ตรงกับความต้องการและยกระดับอุตสาหกรรมในพื้นที่รวมทั้งจะเป็นการขยายสู่ข้อมูลเพื่อรองรับการเป็นดาต้าฮับของอาเซียน ซึ่งโครงการนี้ได้รับพื้นที่การสนับสนุนส่วนหนึ่งและสาธารณูปโภคด้านเครือข่ายจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับสตาร์ทอัพของไทยในการสร้างรายได้อีกด้วย

ผมขอชื่นชมและสนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะพยายามเร่งรัดให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เนื่องจากโครงการเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไปด้วย

ตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่อนาคตในด้านการผลิต ประเทศไทยก็กำลังจะมีศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการศูนย์การเรียนรู้และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งก็จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน สถานีประจุไฟฟ้าต้นแบบ รวมถึงการเก็บฐานข้อมูลผู้ประกอบการและการประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ทำรายได้ให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 นี้ คาดว่าไทยจะมียอดการผลิตยนต์ประมาณ 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 800,000 คัน และส่งออกถึง 1.2 ล้านคัน ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศผ่านการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เช่น รถที่ปล่อย CO2 น้อย และอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยสูง จะมีภาระด้านภาษีลดลง

ขณะที่มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าในประเทศเพื่ออนาคตภายใต้บีโอไอ ก็จะช่วยให้ไทยมุ่งไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาพอสมควร เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเริ่มศึกษาและพัฒนากันตั้งแต่บัดนี้ เพื่อจะรักษาขีดความสามารถในการที่จะเป็นผู้นำการผลิตรถยนต์ของไทยในภูมิภาคนี้ไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้เป็นการวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่ออนาคตในภาพรวมของประเทศ รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหหกรรมได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยแลนด์ 4.0 ระยะ 20 ปีขึ้น ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 22 ซึ่งมีแผนการดำเนินการหลักๆ อัน ได้แก่

1.การยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูง โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายอุตสาหกรรมอนาคตหรือเอสเคิร์บ ทั้งการต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทั้งการผลักดันให้เกิดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมใหม่ เพื่อจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตั้งจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตในอาเซียน และเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก รวมทั้งเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่ผมเพิ่งกล่าวถึงไปแล้ว

ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่การลงทุนใหม่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอีอีซี รวมกว่า 180,000 ไร่ ซึ่งเราคาดหวังว่าจะทำให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี ก็ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ต่อประชาชน

2.การลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยการพัฒนาเอสเอ็มอี ที่มีไอเดียให้เป็นผู้ประกอบการเชิงสร้างสรรค์ที่มีนวัตกรรม และสามารถนำต้นแบบงานวิจัยไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ดิจิตัลเพื่อให้ธุรกิจปรับเข้าสู่เอสเอ็มอียุค 4.0 สำหรับเศรษฐกิจฐานรากก็จะมีการสนับสนุนด้านเงินทุน จากลงทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ รวมทั้งมีการพัฒนาหมู่บ้านอุตสากรรมสร้างสรรค์เพื่อจะเชื่อมโยงสู่ท้องถิ่น มาสู่มือของผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว เพื่อจะเป็นการเพิ่มรายได้อีกด้วย

3.การสร้างความสมดุลในการจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมของภาคอุตสาหกรรมก็ต้องให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมโดยระดับสถานประกอบการก็ต้องได้รับการรับรองเครื่องหมายอุตสาหกรรมสีเขียว ส่วนระดับเมืองต้องมีโครงการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการนำร่องใน 15 จังหวัด และนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 59 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินงานตามแผนทั้ง 3 ข้อ กระทรวงอุตสาหกรรมเองก็มีแผนจะปรับบทบาทและโครงสร้างของกระทรวง และสถาบันเครือข่ายทั้ง 11 แห่ง ให้เน้นบทบาทของการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนเอสเคิร์บ และเอสเอ็มอี ตามแนวทางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สำหรับช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้มีความเข้มแข็งจากภายใน สามารถขยายตัวให้สอดคล้อกับพลวัตรการเปลี่ยนแปลงของโลก ในการผลักดันประเทศให้หก้าวเดินไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนด้วย

พี่น้องประชาชนครับเพื่อจะช่วยกันผลักดันแผนการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมข้างต้นผมขอประชาสัมพันธ์ว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 กรกฎาคม ศกนี้ จะมีการสำรวจสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตทั่วประเทศ จะมีการลงพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อสัมภาษณ์ผู้ประกอบการเพื่อเก็บข้อมูลรวบรวม เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม ชนิดของผลิตภัณฑ์ จำนวนคนทำงาน ค่าตอบแทนแรงงาน เป็นต้น โดยงานข้อมูลที่ได้นั้น ก็จะนำมาใช้ในการวางแผน และเป็นการกำหนดนโยบาย การพัฒนาเศรษฐกิจ ด้านอุตสาหกรรมการผลิต ในอันที่จะเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมรวมถึงการจัดทำดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินกิจการ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ การจัดทำแผนวิเคราะห์สถานการณ์ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมด้วย

ผมจึงอยากจะขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง ทั้งนี้ ขอรับรองว่าข้อมูลจากการสัมภาษณ์ดังกล่าวนั้นจะไม่มีการรั่วไหล ไม่มีการเกี่ยวพันกับข้อกฎหมาย ไม่โยงใยไปถึงเรื่องภาษีและอื่นๆ แน่นอน

นอกจากนั้น วันนี้ผมมีข่าวดีๆ เป็นที่น่ายินดีว่าดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยของผู้บริโภคในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แล้วก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี อีกทั้งราคาสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย ก็ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งก็จะช่วยให้กำลังซื้อของผู้บริโภคที่เป็นเกษตรกรมีมากขึ้น นอกจากนั้น การส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยสนับสนุนให้คนไทยสามารถจับจ่ายใช้สอยและเดินทางท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น เมื่อกิจการต่างๆ ทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตได้ดี มีความเข้มแข็ง ส่งผลดีต่อรายได้ของพี่น้องประชาชนในทุกกลุ่ม ทุกอาชีพด้วย รัฐบาลเองก็จะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเติบโตนี้มีต่อไปได้อย่างยั่งยืน

มีข่าวที่เป็นข่าวดี ก็คือการอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกประจำปี 2017 ของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ที่จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด อันดับ 2 ของอาเซียน อันดับที่ 3 ของทวีปเอเชีย โดยการจัดอันดับวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประชาชาติ อายุขัยเฉลี่ยของประชากร เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตและทำงาน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม ความโปร่งใส ในปีนี้ประเทศของเราขยับดีขึ้นเป็นลำดับ ก็ดีกว่าประเทศอื่นๆ ของโลก อย่างเห็นได้ชัด สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ไทยเราเป็นแชมป์ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกด้วย

พี่น้องประชาชนครับ เราไม่จำเป็นต้องพอใจในตำแหน่งเหล่านี้นะครับ แต่ผมรู้ว่าเรายังสามารถจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมพลังความสามัคคี พลังประชารัฐนั้น ทำให้ประเทศมีคะแนนหรือมีอันดับที่สูงกว่านี้ได้ เพียงแค่เราต้องปรองดองกัน เพื่อไปสู่ความสุข ความยั่งยืน ของคนไทยทุกคน เราจะต้องรับฟังความเห็นต่างที่สร้างสรรค์ โดยพยายามเข้าอกเข้าใจกัน ร่วมกันแก้ไขปัญหา เข้าใจอุปสรรคขวากหนามที่มีอยู่ตั้งแต่ในอดีต แล้วเราก็ต้องไม่สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ช่วยกันทำสังคมของเราให้น่าอยู่ โดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน สังคมใกล้เราก่อน ทำหน้าที่ของทุกคนให้ดี ของตัวเอง ให้เป็นพลเมืองดี แล้วหันไปมองผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม จดจำแต่ความดีของเขา แล้วก็มองข้ามความผิดพลาดที่เขาจะต้องแก้ไข ถ้าเราทุกๆ คนทำได้เช่นนี้แล้ว ใครจะจัดให้เราอยู่อันดับไหนก็คงไม่มีความสำคัญ เพราะว่าเรามีความสุขเสียแล้ว

ผมไม่อาจจะกล่าวอ้างได้ว่าผม ในนามของ นรม. หัวหน้า คสช. หรือรัฐบาล และ คสช. จะทำอะไรได้ดีกว่าใคร ดีกว่ารัฐบาลไหนก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องที่ประชาชน ประเทศชาติ ปัจจุบันและอนาคตจะเป็นผู้สรุป ประเมินผล แต่ผมก็อยากจะกล่าวไว้ว่าผมได้ทำอะไรไปบ้าง ที่อาจจะไม่ได้ทำมาหลายอย่าง เช่น

1. การสร้างพื้นฐานอนาคตที่ยั่งยืน ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าว
2. การบังคับใช้กฎหมายที่จำเป็น ก็ทราบอยู่แล้ว มันจำเป็นก็ต้องใช้
3. การที่เรานำเรื่องสำคัญเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือน ให้เกิดความเคารพ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของเรา ก็สุดแล้วแต่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรม
4. การปรับปรุงกฎหมายจำนวนหลายฉบับ ทั้งกฎหมายประชาชน กฎหมายการค้าการลงทุน กฎหมายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน ผู้ยากไร้ ยากจน
5. การจัดทำแผนแม่บทในการบริหารจัดการที่ดิน หาที่ทำกิน ขจัดการบุกรุกป่า การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งก็มีผลทยอยดีขึ้นตามลำดับ วันนี้ก็อาจจะลดปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนหรือภัยแล้งลงไปได้บ้าง อาจจะยังไม่ทั่วถึงนะครับ เพราะต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณอีกเป็นจำนวนมากในการทำให้เต็มทั้งระบบ
6. การแก้ปัญหาบุกรุกทำลายป่า เราต้องแก้ไขอย่างยั่งยืน ให้เป็นระบบ ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ คือรัฐอย่างเดียว ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันดูแล
7. การแก้ปัญหาการเกษตรทั้งระบบ พืชเศรษฐกิจทุกชนิด เราต้องนำมาสู่การแก้ปัญหาทั้งสิ้น ทั้งในประเทศ ทั้งต่างประเทศ กลไกต่างๆ มันมากมาย เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด มีการปรับรูปแบบการทำการเกษตรที่เขาทำแล้วก็มีรายได้สูงขึ้นจำนวนมาก เราต้องสร้างการเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็งด้วยตัวเอง นอกจากการที่รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณในการจ่ายขาดแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ยั่งยืน เพราะวันนี้ก็มีทั้งจ่ายขาดก็มี เงินกู้ยืมก็มี เงินสร้างความเข้มแข็งก็มี มีหลายอย่าง ให้อย่างเดียวก็ใช้ได้ แล้วพอใช้หมดไปมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาจากนั้น มันก็ต้องผสมผสานกันไป ก็อาจจะมากบ้าง น้อยบ้าง ต้องไปดูกัน
8. การเตรียมการรองรับการสาธารณสุข สังคมสูงวัย อันนี้จำเป็นมาก เพราะเราใช้เรื่องการศึกษา เรื่องการสาธารณสุข เป็นจำนวนมาก เราต้องปฏิรูปทั้งระบบ เพื่อจะให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น แล้วเราก็ต้องระมัดระวังปัญหาเรื่องงบประมาณ ถึงได้บอกว่าเราต้องหารายได้ประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของรัฐสวัสดิการทั้งหมดนี่ล่ะ
9. การแก้ปัญหาการขนส่งมวลชน ที่ผ่านมาอาจจะยังไม่เป็นระบบ ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหาการจราจรมากมาย วันนี้ก็เริ่มแก้มา เริ่มแกะมา เริ่มแก้ออกมา เริ่มต่อระยะมา ก็แก้ปัญหาได้พอสมควร แต่มันยังไม่สมบูรณ์หรอกนะ มันต้องใช้เวลาหลายๆ ปี ที่ผ่านมามันอาจจะช้าไปนิดหนึ่ง การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน รถไฟฟ้า รถไฟ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ และอื่นๆ ก็อยู่ในแผนงานโครงการทั้งสิ้น ก็ทำระยะที่ 1 ไปก่อน เพื่อจะเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต
10. การดำเนินการจัดทำพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อเป็นแหล่งที่มีรายได้สูง มีศักยภาพในการแข่งขัน มีการส่งเสริมเทคโนโลยี เช่น เรื่องอีอีซี เรื่องอะไรต่างๆ เหล่านี้ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
11. การปฏิรูปการศึกษา ผมกล่าวไปหลายครั้งแล้วว่ามันมีปัญหาซับซ้อนอยู่มากมาย หลายอย่างอาจจะยังไม่ได้ผลการประเมินที่ชัดเจน อาจจะมีผลมาถึงประชาชนได้ไม่มากนัก แต่มันก็เป็นปัญหามายาวนาน แล้วก็เป็นระยะแรกของการแก้ปัญหาของเรา มันก็มีแนวโน้มในสิ่งที่ดีขึ้น ผมก็ตั้งใจทำเต็มที่นะครับ กระทรวงศึกษาฯ ก็พยายามปรับแก้ ปรับระบบของตัวเองมากมาย
12. การอำนวยการภาครัฐ ประชาชน เอกชน ประชาสังคม ในการที่เราจะบริหารราชการแผ่นดินแบบประชารัฐ ประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีการรับฟังความคิดเห็นจากศูนย์ดำรงธรรม สื่อมวลชน สื่อโซเชียลที่เป็นประโยชน์มากมาย ผมก็จะนำมาสู่กระบวนการแก้ปัญหา ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว มาตลอด
13. การบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ก็ได้จัดให้มีการทำยุทธศาสตร์ชาติ ขณะนี้ก็อยู่ในการพิจารณาของ สนช. เพื่อจะให้ทุกรัฐบาลได้มีกรอบการทำงานที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ตามกำหนดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือสถานการณ์ปัจจัยภายใน ภายนอก
14. หลายอย่างมีการพัฒนาตามลำดับ หลายๆ เรื่อง อาจจะเป็นร้อย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ผมอาจจะกล่าวไม่หมดในวันนี้ ผมก็ยกแต่เพียงตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องระบบงบประมาณ การเงินการคลัง เรื่องการขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน การพิจารณาลำดับของประเทศในเวทีโลก

เหล่านี้เป็นความจำเป็นทั้งสิ้น แต่ผมก็คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสร้างความมั่นคง สร้างความมีเสถียรภาพ และต้องขจัดการทำผิดกฎหมาย คอร์รัปชัน การบังคับใช้กฎหมาย หลายๆ อย่างอาจจะเป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นพื้นฐานในเวลานี้ ในการที่จะเปลี่ยนแปลง ในการที่จะปฏิรูป ในการที่จะเดินหน้าพาประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในอนาคต

ผมขอให้ประชาชนคนไทย ขอได้โปรดให้ความเชื่อมั่นในการทำงานของผม ของรัฐบาล ของ คสช.ต่อไป เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แน่นอน ปัญหามันเยอะ การทำงานมันก็ต้องมีอุปสรรค มีความคิดเห็นต่างมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราทุกคนมุ่งไปสู่ว่า เราจะทำให้ประเทศชาติเราปลอดภัยอย่างไร ประชาชนเรามีความสุขได้อย่างไร เหล่านั้นมันจะทำให้ทุกอย่างที่เป็นความขัดแย้งกลับไปสู่ความร่วมมือให้ได้มากที่สุด

ขอขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอขอบคุณ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น