“เทพเทือก” ไลฟ์สดเฟซบุ๊กแนะ สนช.พิจารณาแก้ไขกฎหมายตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพิ่มจำนวนคนจดทะเบียนตั้งพรรคจาก 500 เป็น 5,000 เห็นแย้ง กรธ.ควรเพิ่มค่าบำรุงพรรคมากกว่า 100 เชื่อคนไทยบริจาคได้
วันนี้ (21 เม.ย.) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (มปท.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธาน มปท.ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กล่าวถึงเจตนารมณ์ของ กปปส.ต่อกฎหมายพรรคการเมืองตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นช่วงเวลาที่เราจะมาพูดคุยกันเรื่องสำคัญของบ้านเมือง วันนี้กำลังเริ่มกระบวนการปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญของประเทศไทย คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้จัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง และร่างกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ไป ตรงนี้เป็นเรื่องที่พวกเรามวลมหาชนจะต้องติดตามและแสดงออก เราคิดเราเห็นเป็นอย่างไรสำหรับร่างกฎหมายที่เขาพิจารณากันในเวลานี้
นายสุเทพกล่าวว่า ส่วนที่ 1 ในร่างกฎหมายพรรคการเมืองก่อนที่จะลงไปถึงรายละเอียดมาตราต่างๆ ตรงที่เป็นบันทึก หลักการและเหตุผลของการทำกฎหมายนี้จำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม คือ ตนและมวลมหาประชาชนต้องการเห็นว่ามีระบุไว้ชัดในเหตุผลว่า ที่เราต้องเขียนกฎหมายนี้เพราะเราต้องการให้พรรคการเมืองเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง ตรงนี้สำคัญ เพราะถ้าตราบใดที่พรรคการเมืองไม่ได้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน การเมืองในประเทศนี้ก็จะไม่เป็นการเมืองของประชาชนในประเทศ ตรงนี้สมควรที่ สนช.จะได้พิจารณา และหากจะปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมก็ควรระบุให้ชัดเลยว่าต้องการให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน เราประชาชนจะมีความสบายใจมาก
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การที่พรรคการเมืองจะเป็นพรรคการเมืองของประชาชนไดนั้นก็ต้องดูว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงของพรรคการเมือง ในร่างกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 9 ที่ กรธ.ร่างเอาไว้กำหนดว่า ถ้าประชาชนที่มีอุดมการณ์ในทางการเมืองจำนวน 500 คน สามารถร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองได้นั้น ตรงนี้อยากจะบอกว่าน้อยเกินไป อย่างนี้ไม่สอดคล้องกับหลักการที่จะให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูจำนวน ส.ส.ในสภาตามรัฐธรรมนูญที่แบ่งเป็น ส.ส.จากเขตเลือกตั้ง 350 คน ส.ส.จากระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน รวมกันก็ 500 เอาเฉพาะคนที่อยากเป็น ส.ส.500 คน เข้าชื่อกันก็ตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว อย่างนี้ประชาชนไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของร่วม หรือครอบครัวใหญ่ๆ มีพี่น้องมากๆ ไม่กี่ครอบครัวก็ตั้งพรรคการเมืองได้ เจ้าของบริษัทเอาพนักงาน 500 คนร่วมกันจดทะเบียนตั้งพรรคก็ได้ ตนจึงอยากเสนอต่อ สนช.ว่าข้อนี้ควรปรับปรุงเพิ่มจำนวน คิดว่าควรระบุว่าประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจำนวน 5,000 คนขึ้นไปจึงจะรวมตัวกันจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองได้ นี่คือการแก้ในมาตรา 9 และเมื่อแก้ในมาตรา 9 แล้วก็จะมีผลไปแก้ในมาตรา 10 ว่า ผู้ที่ขออนุญาตจัดตั้งพรรคการเมืองต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่อย่างน้อยมีจำนวนครึ่งหนึ่ง คือไม่ต่ำกว่า 2,500 คน เพื่อที่จะเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคและอื่นๆ เป็นขั้นตอนแรกของการจัดตั้งพรรคการเมือง ตัวเลขต้องแก้ให้สอดคล้องที่ไปแก้ไขในมาตรา 9
นายสุเทพกล่าวต่อว่า ในส่วนที่ 2 การที่จะแสดงว่าคนใดเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่แท้จริงก็ต้องดูว่าใครเป็นคนออกเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองนั้น ในอดีตเราเห็นอยู่แล้วว่าคนที่ออกเงินเป็นคนที่กำกับควบคุมพรรคการเมืองได้เบ็ดเสร็จ เพราะเขาเป็นเจ้าของเงิน วันนี้ต้องให้ประชาชนเป็นเจ้าเงินที่ใช้จ่ายในพรรคการเมือง ดูร่างกฎหมายที่ กรธ.จัดทำในมาตรา 15 (15) ที่ระบุว่า ให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องเสียค่าบำรุงพรรคเป็นรายปี ปีละ 100 บาท ตรงนี้ก็มีเสียงคนโวยวายว่าจะเป็นอุปสรรคทำให้ประชาชนไม่สามารถเป็นเจ้าของพรรคได้นั้น ตรงนี้ไม่จริง เวลานี้คนไทยคิดไกลกว่านั้น เชื่อว่าวันนี่พี่น้องคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน พร้อมที่จะแสดงตัวเป็นเจ้าของพรรคการเมืองด้วยการบริจาคเงิน หรือจ่ายค่าบำรุงเป็นรายปี ตนยังคิดว่า 100 บาทยังน้อยไป อย่างน้อยที่สุดเราจะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองอย่างสมศักดิ์ศรีก็ควรเสียสละเงินวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท วันละ 1 บาทสำหรับการเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่จะทำงานการเมืองเพื่อประเทศเพื่อประชาชน เพื่อแผ่นดินคุ้มค่า ประชาชนส่วนหนึ่งเชื่อว่าพร้อมที่จะทำ ตรงนี้สำคัญมาก แต่ที่ยกร่างเขียนไว้ 100 บาท และไปกำหนดในบทเฉพาะกาลในช่วงแรกให้เสียค่าบำรุงได้ต่ำกว่า 100 บาทก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 50 บาท อย่างนี้เราคิดว่าน้อยไปเพราะว่ามันจะทำให้พรรคการเมืองต้องไปพึ่งพาเงินจากแหล่งอื่น เจ้าของทุนอื่นที่ไม่ใช่ประชาชนแล้วจะมีผลให้เจ้าของเงินที่เข้าต้องควบคุมพรรคมีบทบาท ต่อไปประชาชนก็จะเป็นแค่องค์ประกอบ ส่วนประกอบหรือเป็นแค่สมาชิกอย่างที่เป็น
นายสุเทพกล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชนนั้นไม่ต้องการไม่ต้องการเห็นประชาชนเป็นเพียงส่วนประกอบของพรรคการเมือง แต่ต้องการให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองอย่างแท้จริง และการแสดงความเห็นใน 2 เรื่องนี้ก็เพื่อที่จะให้ สนช.ได้ตระหนักว่าการที่จะทำพรรคการเมืองให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างน้อย 2 ส่วนต้องสำคัญ คือ จำนวนคนที่จะเป็นเจ้าของพรรค และจำนวนเงินที่เจ้าของพรรคจะต้องบริจาคเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพรรคในแต่ละปี