ชาวชุมชนวังหินริมคลองลาดพร้าวเศร้า ศาลปกครองไม่รับฟ้องปม กทม.สั่งรื้อที่บ้านพักอาศัย สร้างบ้านมั่นคง เหตุคำสั่ง กทม.แค่หนังสือเตือน จึงไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหาย ซ้ำที่ดินเป็นที่ราชพัสดุ ครอบครองอย่างผิด กม. เมื่อปฏิเสธร่วมโครงการจึงไม่ใช่ผู้เสียหายทางนิตินัยที่จะฟ้องคดีได้
วันนี้ (19 เม.ย.) ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องที่นางรุ่งทิพย์ คล้ายคลึง และพวกรวม 54 คน ที่พักอาศัยอยู่บริเวณริมคลองลาดพร้าวชุมชนวังหิน ยื่นฟ้อง ผู้อำนวยการเขตจตุจักร ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งผู้อำนวยการเขตจตุจักร ลงวันที่ 24 พ.ค. 2559 ที่ให้นางรุ่งทิพย์และพวกรื้อย้ายบ้านพักอาศัยบริเวณริมคลองลาดพร้าวที่ไม่ได้รุกล้ำลำน้ำเสียทั้งหมดเพื่อนำพื้นที่ไปก่อสร้างอาคารบ้านมั่นคงชุมชนวังหิน ตามนโยบายของรัฐบาล และตามคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยศาลให้เหตุผลว่าตามมาตรา 117 มาตรา 118 และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ 2457 ประกอบมาตรา 69 (1) พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร 2528 ไม่ได้บัญญัติให้ ผอ.เขตจตุจักร มีอำนาจบังคับจัดการให้บุคคลใดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของบุคคลนั้นออกจากที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือใช้มาตรการบังคับทางปกครองกรณีดังกล่าวได้ แต่บัญญัติให้มีหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินนั้นไม่ให้บุคคลใดนำไปใช้ประโยชน์เป็นการเฉพาะตัว ดังนั้น ที่หนังสือคำสั่งของ ผอ.เขตจตุจักรแจ้งไปยังนางรุ่งทิพย์และพวกจึงเป็นเพียงหนังสือแจ้งว่านางรุ่งทิพย์และพวกได้กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ห้ามมิให้บุคคลใดเข้าไปยึดถือครองที่ดินของรัฐ และแจ้งเตือนให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยออกไปจากเขตที่ราชพัสดุ ยังไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง และหากนางรุ่งทิพย์กับพวกไม่ดำเนินการรื้อถอน ผอ.เขตจตุจักร ก็มีอำนาจเพียงฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายเท่านั้น ไม่อาจใช้อำนาจบังคับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยได้ แต่เมื่อหนังสือคำสั่งดังกล่าวของ ผอ.เขตจตุจักร ไม่ได้มีผลบังคับตามกฎหมาย จึงถือว่านางรุ่งทิพย์กับพวกยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายที่จะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งตามที่ร้องขอได้
ส่วนที่อ้างว่า การก่อสร้างไม่เป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย กฎกระทรวง และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ขอให้ศาลสั่งให้ ผอ.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ระงับโครงการบ้านมั่นคงในพื้นที่ชุมชนวังหินไว้ก่อนจนกว่าจะมีการดำเนินการตามขั้นตอน และให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม รวมทั้งให้มีการชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านที่เป็นผู้ฟ้องคดีรายที่ 43 จำนวน 1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เนื่องจากเมื่อก่อสร้างอาคารบ้านมั่นคงมีการถมดินทับถนนจนปิดทางเข้าบ้านโดยสิ้นเชิงนั้น เห็นว่า กรมธนารักษ์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในชุมชนวังหินทุกครัวเรือนได้รับทราบและส่วนใหญ่ได้เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวังหินโดยมีการทำสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2559 เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวได้รับสิทธิเช่าที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุอย่างถูกต้อง แต่เมื่อนางรุ่งทิพย์และพวก รวมถึงผู้ฟ้องรายที่ 43 ไม่ให้ความร่วมมือทั้งที่หากก่อสร้างอาคารบ้านมั่นคงชุมชนวังหินแล้วเสร็จ ชาวชุมชนวังหินรวมถึงนางรุ่งทิพย์กับพวก มีสิทธิทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมธนารักษ์แล้วก็จะเปลี่ยนสถานะจากผู้บุกรุกเป็นผู้เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จึงถือได้ว่าเข้าอยู่อาศัยในที่ราชพัสดุโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีสิทธิจะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง