นายกฯ วอนพวกจ้องติติงรัฐมองภาพกว้าง มั่นใจหากร่วมมือกันนำประเทศไปสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” พ้นกับดักการทุจริตคอร์รัปชันได้แน่ ยันรัฐพยายามปฏิรูปเต็มที่ในทุกช่องทางให้ ปชช. มีเงิน มีความมั่นคง โอกาสและทางเลือกมากขึ้น แนะย้อนดู3ปีที่ผ่านมามีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย และอย่าเอา “เลือกตั้ง” กับ “ปรองดอง” มาปนกัน
วันนี้ (14 เม.ย.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันที่ 14 เมษายนของทุกปี เป็นวันครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันพื้นฐานที่มีขนาดเล็ก แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เริ่มต้น ณ จุดนี้ รวมทั้งความมั่งคั่งของประเทศ และความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชนทุกคน เราจำเป็นจะต้องสร้างความเข้มแข็ง ณ สถาบันแห่งนี้ให้ได้ก่อนโดยเร็วเช่นกัน ส่วนการรักษาความสงบสุขของสังคมให้คงอยู่อย่างยั่งยืนนั้น ต้องเริ่มที่จิตใจของแต่ละคน
ทั้งนี้สมาชิกในครอบครัวทุกคนก็มีส่วนสำคัญในการที่จะขัดเกลาหล่อหลอมจิตใจให้เยาวชนลูกหลานไทย เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองดีในอนาคต ดังนั้นในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ วันผู้สูงอายุ และวันครอบครัวนี้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มีคุณภาพมากที่สุด มีการกระชับความสัมพันธ์พ่อ แม่ ลูก รวมทั้งญาติพี่น้องให้ใกล้ชิดกัน ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง มีกิจกรรมร่วมกันบ้าง เท่านี้จะเป็นการสร้างความอบอุ่นให้สมาชิกในครอบครัวโดยตรง และทางจิตใจ และสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยอ้อม
รัฐบาลยนี้นอกจากจะตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวตามที่กล่าวมาแล้ว ยังได้ประกาศใช้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 2559-2564 นับเป็นหน่วยงานระดับชาติด้านส่งเสริมคุณธรรมอย่างเป็นระบบฉบับแรกของประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการปลูกฝังคุณธรรม สร้างค่านิยม และจิตสำนึกที่ดีให้แก่ประชาชน ก็เป็นการขับเคลื่อนนำแนวคิดหลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกลไกประชารัฐ เพื่อจะให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน และใช้คุณธรรมในการพัฒนา ในการที่จะสร้างกลไกให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ รวมทั้งสร้างสังคมคุณธรรมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน ต้องช่วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งในปี 2560 นี้ จะเน้นคุณธรรมอันพึงประสงค์ 4 ประการคือ ความพอเพียง มีวินัย สุจริต และจิตอาสา รวมทั้งเร่งขยายเครือข่ายชุมชนคุณธรรม และองค์กรหน่วยงานคุณธรรมไปทุกพื้นที่ ปัจจุบันก็มีหลายแห่งนะครับ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคสื่อมวลชน และภาคประชาชนกว่า 300 หน่วยงาน ที่ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์นี้ และผนึกกำลังกันสร้าง อบต.คุณธรรม บริษัทคุณธรรม โรงเรียนคุณธรรม โรงพักคุณธรรม โรงพยาบาลคุณธรรม และอื่นๆ อีก จนสามารถขยายเป็นภาคีเครือข่ายได้มากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นชุมชนและองค์กรที่นอกจากจะมีคุณธรรมทั้ง 4 ประการดังกล่าวแล้ว อาจจะยังไม่พอเราต้องช่วยกัน เพื่อเป็นการสร้างชุมชนที่สามารถพึ่งพาตนเอง และพึ่งพาซึ่งกันและกันได้อีกด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ และชุมชนจะสามารถนำพาทุกคน และประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และหลุดพ้นกับดักทุจริตคอร์รัปชันให้ได้ในที่สุด
พี่น้องชาวไทยที่รักครับ การนำประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจ 4.0 ซึ่งมีอยู่หลายมิติในการดำเนินการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ด้านทรัพยากรมนุษย์ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ประชาชน ต้องร่วมมือกันพัฒนาตนเอง เรียนรู้สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ รัฐบาลจะไม่สามารถทำตามนโยบายอะไรได้เลย หากทุกคนคอยแต่ติติง หรือดูถูกสติปัญญาของพวกเรากันเองว่า รัฐบาลจะทำได้หรือไม่ ประชาชนยังไม่พร้อม อาจจะมีสื่อมวลชน นักวิชาการ นักการเมืองบางท่านพูดถึงเหล่านี้อยู่ ทำไมเราไม่ช่วยกัน มาช่วยกันสร้างความเข้าใจ ช่วยกันกระตุ้น สร้างความร่วมมือ มิเช่นนั้นทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่รัฐบาลทำเพื่อประเทศชาติ และประชาชน มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ อยากให้บุคคลเหล่านี้ช่วยมองภาพกว้าง รับฟังสิ่งที่รัฐบาล และ คสช.ทำ และชี้แจงมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการมีแสดงผลการทำหน้าที่ขึ้นเป็นระยะๆ วาดวางอนาคตไว้ให้มองเห็น จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หรืออาจจะไม่ใช่เรื่องยากจนเกิดไป หรือมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเราร่วมมือกันมันก็เป็นไปได้ทุกอย่าง
ประเด็นการปฏิรูปการศึกษา โดยคณะกรรมาธิการของ สปท. สนช. อาจมองว่า เอ๊ะทำไมเราทำล่าช้า รัฐบาลดูแลอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นจะตรงประเด็น ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ผมอยากเรียนว่า ปัญหามันซับซ้อนมาก วันนี้เราต้องปฏิรูปในเชิงโครงสร้างไปด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นปัญหาซับซ้อนกันมายาวนาน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะมาแก้ 1-2 วัน หรือ 1-2 ปี มันเริ่มต้น เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับคนหลายกลุ่ม หลายฝ่าย กฎหมายด้านการศึกษาเดิมก็มีมากมาย มีหลากหลายองค์กรรับผิดชอบและบุคลากรทางการศึกษาก็กระจัดกระจายออกไปกว้างขวาง เป็นอุปสรรคต่อกัน ทำให้เราต้องจัดระบบระเบียบสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการเข้ามาให้ด้วยกันก่อน
ทั้งนี้ บุคลากรครู อาจารย์ ทั้งประถม อุดมศึกษา และอาชีวะ บางท่านอาจจะมีความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน บางส่วนอาจจะคิดว่าของเดิมดีอยู่แล้ว หรือมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอย่างไร ในขณะนี้ที่มันอาจจะเป็นปัญหาในภาพรวม ไม่ใช่เฉพาะของท่าน องค์กรของท่าน ถ้าหากเราไม่บูรณาการกัน มันก็ไม่เป็นระบบเดียวกัน ต่างคนก็ต่างอยู่ แยกกันทำงาน คือมันถ่วงดุลกันเกินไป จนทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยง ซึ่งในความจริงแล้วนั้นทั้งหมดที่เราเรียกว่า องคาพยพนั้น มันจะต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน คือองคาพยพด้านการศึกษา และต้องเชื่อมโยงกับส่วนอื่นด้วย ส่วนงานอื่นๆ ด้วย เช่น ความเชื่อมโยงของตลาดแรงงาน กับสถานศึกษา การผลิตคน เราต้องดูประมาณการความต้องการแรงงานในอนาคต ซึ่งในวันนี้เรามีการลงทุนต่างๆ มากมาย ทั้งบีโอไอ ทั้งอีอีซี ทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็มีการกำหนดความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ทั้งมีฝีมือ ไม่มีฝีมือ
รัฐบาลได้ให้กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้มีการรวบรวมจัดทำขึ้น พบว่าความต้องการจ้างแรงงานฝีมือมีทักษะสูงของประเทศเพิ่มขึ้นตามยุทธศาสตร์การปฏิรูป และการลงทุนต่างๆ ของประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ระยะ 5 ปีข้างหน้า มีความต้องการทั้งแรงงานอุตสาหกรรม ลอจิสติกส์มากกว่า 6 ล้านคน และในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการอีกราว 6 แสนคน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า เรามีโจทย์หรือปัญหาที่รอการปฏิรูป รอการแก้ไขอย่างมีระบบ และเกิดการบูรณาการด้วยกันระหว่างหน่วยงาน ไม่ใช่ของใครของมัน ทุกอย่างทุกเรื่อง ผมเรียนว่า ไม่ใช่สั่งวันนี้พรุ่งนี้ได้ หรือคิดอะไรวันนี้ พรุ่งนี้ทำสำเร็จ มันเป็นไปไม่ได้นะครับ ทุกคนมีทั้งทำตาม ไม่ทำตาม เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย บางครั้งผมจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ยังมีผู้เห็นด้วยไม่เห็นด้วยเลย ก็เห็นได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มุ่งหวังในการใช้อำนาจเต็มที่ อย่างที่หลายๆ คน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ บางส่วนอาจจะเห็นด้วยก็ทำร่วมมือ บางส่วนไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่ร่วมมือ หรือก็ไม่เห็นด้วยเลย ก็ไปหาทางออกก็ไปทำอย่างอื่น มันก็เกิดความสับสนอลหม่าน ก็ปฏิรูปไม่ได้อยู่ดี ตลอดเวลา รัฐบาล และ คสช.เข้าใจ ว่าทุกคนจำเป็นต้องนึกถึงตัวเอง องค์กรตัวเอง ก็ผมก็ไม่ได้ว่าใคร ทุกคนต้องรักองค์กรของตัวเอง แต่ต้องรักประเทศชาติด้วย และมองปัญหาของประเทศร่วมกัน เพราะมันไม่ใช่ปัญหาขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากว่าเป็นปัญหา เช่น เรื่องการศึกษา มันหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง หลายกรม หลายหน่วยงาน เกี่ยวข้องทั้งหมด และมันก็เป็นปัญหาของคนไทยทั้งประเทศ
ทั้งนี้ คนในชาติก็คือเยาวชน เด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ผู้ประกอบการ ข้าราชการ เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เราต้องมองหาให้เจอว่าเขาจะได้อะไรจากการบริหารจัดการศึกษาของชาติ ปัจจุบันนั้นเราดีเพียงพอหรือยัง ระบบดีหรือยัง หรือส่วนของเราทำดีหรือยัง ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ ต้องมีการพัฒนาไปในทิศทางใด ผมก็ขอร้องให้คนที่มีบุคลากรทางการศึกษาทุกคนต้องหันกลับมามองตัวเองด้วย ว่าเรามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเหล่านั้นตรงไหน ในส่วนใดของปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็กตรงนั้นถ้ามันดีก็ทำต่อไป ถ้าไม่ดีก็แก้ไข คนที่จะบอกว่าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ตัวเรานะ คนจะบอกก็คือเด็ก ผู้ปกครอง และที่เราเรียกว่าผู้ที่รับผลผลิตจากการบริหารจัดการศึกษาของท่านไปใช้ รวมทั้งประเทศชาติที่เปรียบเสมือนเป็นลูกค้าที่จะต้องได้ทรัพยากรมนุษย์ตรงความต้องการของประเทศ เหล่านี้ต้องถามว่าทำได้ดีแล้วหรือยัง สมกับการใช้งบประมาณกว่า 20% ของงบประมาณประเทศหรือเปล่า เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ที่ใครๆก็เห็นความจำเป็น แต่ก็ต้องให้มันคุ้มค่าด้วยและเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับความเร่งด่วน ความต้องการของประเทศ
เหล่านี้เป็นคำถามที่ทุกท่านต้องหาคำตอบของตัวเองให้เจอจะได้เกิดความร่วมมือมากขึ้น เร็วขึ้น มันเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการปฏิรูปแล้วเท่านั้นเอง มีอีกหลายเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาคล้ายๆกัน ซึ่งนอกจากตัวประเด็นปัญหาที่รอการแก้ไขแล้ว โดยธรรมชาติของคน ของมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทยด้วยกันนั้น เราเป็นคนที่รักอิสระ ไม่ชอบการบังคับ หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปก็แล้วแต่ในโลกใบนี้ก็ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูป แม้ว่ามันจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าก็ตาม วันนี้โลกเร็วขึ้น เทคโนโลยีสูงขึ้น ฉะนั้นความคิดความอ่านก็รวดเร็วขึ้นไปด้วย คนก็หวังจะให้ทุกอย่างเร็วขึ้นเหมือนกับเทคโนโลยีเหล่านั้นซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นการปฏิบัติ เราต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเองก่อน แล้วก็ชักชวนทำในสิ่งใหม่ๆ เพื่อพวกเราทุกคน
สำหรับการใช้รถใช้ถนน จราจร มันก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายที่อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในอดีต ผมเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ เพราะว่ามันไม่เฉพาะตนเอง ความผิดพลาดของท่าน หรือของคนอื่นก็แล้วแต่บนท้องถนน มันส่งผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนที่ล้วนมีค่า มีความหมายต่อตนเอง และครอบครัว และประเทศชาติทั้งสิ้น กฎหมายที่ออกมาหลายสิบปีมาแล้วนั้น เช่น พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นเวลา 30 กว่าปีมาแล้ว หลายเรื่องไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังที่สำคัญคือเราไม่ได้สร้างจิตสำนึกหรือส่งเสริมให้ประชาชนมีความพร้อมอย่างต่อเนื่อง คือ ไม่ได้ขับเคลื่อน มาตั้งแต่อดีต เช่น ในเรื่องของการรัดเข็มขัดนิรภัย การสวมหมวกกันน็อก การใช้รถให้ถูกประเภทตามที่จดทะเบียนไว้ การมีวินัยจราจร การไม่ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การขับขี่ขณะเมาสุรา เป็นต้น
มันมี 2 อย่าง ในเรื่องของรถ ยานพาหนะ ชนกันบ้าง คว่ำบ้าง ในส่วนของคนก็ต้องลดอันตราย มี 2 ขั้นตอนอยู่ ชนคือชน แต่เมื่อชนแล้วจะปลอดภัยมั้ย ก็ต้องรัดเข็มขัดเหล่านี้เป็นต้น มันต้องสร้างความเข้าใจกันให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยง เป็นอันดับต้นๆของโลก เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน จากสถิติอุบัติเหตุทางท้องถนน เฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุก็คือ การเมาแล้วขับ และการขับรถเร็ว โดยผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นวัยแรงงาน และเยาวชน รวมแล้วกว่าร้อยละ 70 สิ่งแรกที่จะต้องแก้ไขคือตัวเอง ที่เป็นผู้ขับขี่ก่อน โดยเฉพาะคนขับรถสาธารณะที่ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยต่อผู้โดยสารของท่าน เพราะเขาฝากชีวิตไว้กับท่าน รัฐบาลไม่ได้อยากจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น เราต้องมุ่งป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุเป็นหลัก เช่น การตรวจความพร้อมของรถ คนขับ ตั้งแต่สถานีรถโดยสาร การจัดตั้งด่านความเร็ว โดยเฉพาะถนนสายหลัก เหล่านี้เป็นต้น
สำหรับผู้โดยสารเองก็ต้องระวังตัวเองไปด้วยการใช้รถใช้ถนน และเรื่องจราจรนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาล หรือวันปกติ รัฐบาลก็ยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้หครบทุกด้าน และจะต้องทยอยสร้างความรับรู้อย่างรวดเร็ว ในช่วงเทศกาลนี้ก็จะเข้มงวดในการตรวจตราเหมือนทุกครั้ง เพื่อให้คำแนะนำตักเตือนจากเบาไปหาหนัก และเพื่อสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วันนี้จะได้ช่วยกันคนละไม้ละมือรับผิดชอบการขับรถของตัวเอง ทำหน้าที่ของตนเองบนท้องถนนให้ดีที่สุด พัฒนาปรับปรุงตนเอง มีความอดทนไม่ขับรถปาดซ้ายขวา ไม่แซงโดยประมาท หรือขับรถโดยไม่มีน้ำใจ เราต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในการใช้ท้องถนนด้วยกัน ด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เราสามารถทำได้ทันที จะลดอุบัติเหตุได้พอสมควร
ในอีกแง่มุมของปัญหาก็เกิดจากการที่ประเทศเรายังมีระบบขนส่งมวลชนที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ต่อเนื่องกันร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างที่ผมกราบเรียนมาหลายครั้งแล้ว มันทำให้ยังไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร รัฐบาลก็พยายามจะแก้ไขอยู่ ที่ผ่านมาเราก็พยายามปลดล็อกในประเด็นที่ติดขัด ทั้งเวลา ทั้งงบประมาณ รัฐบาลนี้ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะสร้างในการพัฒนาระบบการขนส่ง ความเชื่อมโยงเพื่อให้ดำเนินการกับพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึงและครอบคลุม
รัฐบาลเองก็ตระหนักถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ฐานรากที่ยังมีรายได้ไม่เพียงพอ อาจจะไม่สามารถซื้อรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลเพื่อทดแทนรถกระบะ หรือซื้อรถเพิ่มเติมรองรับสมาชิกในครอบครัวได้ เพราะมีความจำเป็นทั้งสองอย่าง คือต้องขนส่งคนในครอบครัว และขนส่งสินค้าสลับกันไป ถ้าจะให้มี 2 คัน รายได้ก็ไม่เพียงพอ แต่ทำยังไงจะปลอดภัย ก็ต้องช่วยกันคิด รัฐบาลพยายามแก้ปัญหา พยายามเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งก็มีแบบเฉพาะหน้า และมีในเรื่องการปฏิรูประยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มฐานราก ที่มีความสำคัญ รัฐบาลก็มีหลายแนวทางที่จะส่งเสริมเพิ่มรายได้ให้กับภาคการผลิต ผ่านการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าให้มากขึ้น ให้เกิดมูลค่า เกิดนวัตกรรม มีราคาสูงขึ้นในการส่งออก หรือนำสู่การผลิต ค้าขาย ในธุรกิจต่อเนื่องก็ตาม เพื่อจะทำให้รายได้นั้นเพียงพอต่อการใช้จ่าย เราจะได้ซื้อหาของใช้ที่ทันสมัยทางเทคโนโลยีที่มีราคาสูงขึ้น ขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูงได้ในอนาคต เพื่อจะได้ให้ทุกคนมีความสุขและใช้ประโยชน์ตรงกับความต้องการเพื่อจะสร้างความสุขในชีวิตประจำวันทั้งตัวเอง และครอบครัวได้ให้เร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การเสริมสร้างฐานการผลิตให้ชุมชนเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถให้กับชุมชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ซึ่งเราทำไว้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านความสามารถในการแข่งขัน ก็คือการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ที่เรียกว่าจีไอ ของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเป็นที่รู้จักของแหล่งผลิตของพื้นที่ต่างๆ ซึ่งถือเป็นการสร้างแบรนด์ให้สินค้า สร้างชื่อให้คนรู้จักคุ้นเคย โดยสินค้าที่ได้ขึ้นทะเบียนนั้นต้องได้รับการคุ้มครองชื่อสินค้า ให้เป็นสิทธิของชุมชน มีการทำการตลาด และรับรองคุณภาพจากแหล่งผลิต สินค้าที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว หรือแหล่งผลลิตที่มีกระบวนการสอดคล้องกับหลักการสากล ไม่ผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก ก็จะเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพราะการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อผู้บริโภคจะทำให้ได้ราคาดีขึ้น สามารถสร้างความมูลค่าทางอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชน อีกทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับแหล่งพื้นที่ที่ผลิตสินค้าเหล่านั้นอีกด้วย นอกจากนั้น อย่างที่มีการจัดทำผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อจะยกระดับสินค้าที่บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทยสู่สากล และส่งเสริมการบริหารตลาดการส่งออก เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง ข้าวสามหยดเมืองพัทลุงที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เป็นต้น และยังมีอีกหลายชนิด หลายผลิตภัณฑ์จำนวนมาก ที่จะต้องเดินหน้าผลักดันส่งเสริมสินค้าจีไอของไทยให้ได้รับการคุ้มครองจากต่างประเทศต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างการขอจดทะเบียนจีไอ ไทยที่มีศักยภาพในประเทศจีน กัมพูชา ญี่ปุ่น และเวียดนาม ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการยกระดับสินค้าและการสร้างโอกาสทางตลาดให้แก่วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้เกิดการสนับสนุนแบบครบวงจร ให้ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่สนใจจะมีพื้นที่จำหน่ายสินค้าจีไอ รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสินค้าจีไอ เช่น จัดงานมหกรรมสินค้า ที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี ในปีนี้ งานจีไอ มาร์เก็ต ครั้งที่ 1 กำลังจัดอยู่ ณ ศูนย์สรรพสินค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ จนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ครั้งต่อไป จัดที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต ในวันที่ 1-7 สิงหาคม อยากให้พี่น้องประชาชนทุกท่านอุดหนุน ให้สินค้าจีไอของไทยแพร่หลายออกไปทั่วโลก และช่วยกระจายรายได้ให้พี่น้องชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศด้วย ขอบคุณภาคธุรกิจด้วย
พี่้น้องประชาชนครับ ยังมีอีกหลายประการที่ต้องปฏิรูป เพื่อให้ได้สิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหา ให้ลดลงตามลำดับ เพียงแต่เราต้องเริ่มต้นให้ได้ตั้งแต่บัดนี้ ต้องมีก้าวแรกเสมอ เพื่อให้มีก้าวต่อๆ ไป เราจะได้เดินทางไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อเราจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สำหรับประเด็นการกระจายอำนาจ ถือว่าอยู่ในขั้นตอนการทำงานของ สปท. ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ยังมีหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นประชาชน อันนี้สำคัญ ทำให้เรื่องนี้ยังมาไม่ถึงรัฐบาล รัฐบาลไม่สามารถจะตอบไรได้ ยังพิจารณาอะไรไม่ได้ ต้องรอตามขั้นตอน ไม่อยากให้ด่วนสรุป ถ้ายังไม่แน่ชัด ไม่เกิดขึ้น เกิดการไม่เห็นชอบ มีการประท้วงอะไรกัน ถามประชาชนด้วยนะ ทุกคนต้องช่วยกันว่าด้วยเหตุผล มีข้อเสนอแนะอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี ยอมรับกันได้ มีประสิทธิภาพไม่ต้องบังคับกัน มันจะเป็นประโยชน์กับประเทศ ขอให้ทำต่อนะ ในเวทีการรับฟังความคิดเห็นอื่นๆ หรือการที่เหมาะสม เป็นไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ เพื่อจะสร้างความสุขสงบ ลดความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องไม่จำเป็น เช่น ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปหลายเรื่องวันนี้
เรื่องการเมือง การเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ขอให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย เพราะเราไม่ได้มีเรื่องนี้ทำเพียงอย่างเดียว เรามีปัญหาต่างๆ อีกมากมาย ที่ต้องดำเนินการแก้ไขพร้อมกันด้วย รอไม่ได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกระดับนั้น เราต้องเริ่มที่ระดับฐานราก ต้องใช้เวลามาก เพราะคนจำนวนมากหลายสิบล้านคน การแก้ไขปัญหาเกษตรกร แก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ราคาผลผลิตตกต่ำ ความไม่ปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหาเร่งด่วนมันมีขั้นตอน มีการวางพื้นฐาน และไปสู่การปฏิรูปประเทศ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ต่อไปในอนาคตด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องจัดทำกฎหมายลูกอีก ที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำหนดไว้ ผมอยากให้พี่้น้องประชาชนที่รักทุกคนมองภาพรวมของประเทศชาติไว้ด้วย ว่า ถ้าทุกอย่างเกิดความขัดแย้งตั้งแต่บัดนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ บิดเบือน หรือรู้ไม่เท่าทัน เราจะเดินหน้าทั้งหมดที่ผมกล่าวไม่ได้เลย รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งไปตามโรดแมป และงานสำคัญคือการเตรียมพระราชพิธี ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 และพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ในหลวง รัชกาลใหม่ ให้สมพระเกียรติในช่วงปลายปี 2560 ตอนนี้ก็เริ่มเหมือนเวทีมวยแล้ว นักมวยขึ้นเวทีมาแล้ว ปี่กลองเริ่มเชิด กรรมการยืนอยู่ตรงกลางเวทีแล้ว ปรากฏว่า ยังไม่ทันให้สัญญาณชก ปรากฏว่า นักมวยพี่เลี้ยงก็เข้ามารุมกรรม จะชกกันได้ยังไง มวยชกกันไม่ได้ ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นๆ
เรื่องการเลือกตั้ง การปรองดอง หลายคนพยายามเอามาเกี่ยวพันกัน ผมว่ามันน่าจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน มันส่งเสริมกัน แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน หลายคนพยายามจะให้ปนเปกัน การเลือกตั้งมันเป็นเรื่องกิจกรรมที่จะให้ได้มาซึ่งรัฐบาลประชาธิปไตย ที่มีธรรมาภิบาลมาบริหารปกครองประเทศ ส่วนเรื่องการปรองดองนั้น มันปรองดองตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน สังคม จังหวัด กลุ่มจังหวัด จนถึงภาค ถึงประเทศ มันเป็นกิจกรรมที่ไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้ง เรื่องของยามปกติไปมาพบกัน ทะเลาะกัน ถึงแม้ความคิดไม่เหมือนกัน ก็ไม่ขัดแย้ง ตีกัน เขาเรียกว่าการปรองดอง เพราะฉะนั้น มันเป็นกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งมันต้องเกิดตลอดเวลา ไม่ว่าจะก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ความขัดแย้ง แตกแยกคนในชาติ อย่ามาอ้างปัญหาเดียวคือ ประชาธิปไตย ผมว่ามันเกิดจากหลายปัญหา เป็นกระบวนการบิดเบือน ข้อเท็จจริง ซึ่งรัฐบาลทุกรัฐบาลต้องล้วนต้องพยายามทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย การใช้สิทธิประท้วงต้องดูข้อกฎหมายอื่นด้วย มีกรอบกฎหมายอื่นด้วย ที่กล่าวสิทธิเสรีภาพของประชาชนต้องเป็นไปอย่างละเมิดมิได้ ทำนองนี้ ข้อความ ความหมายคือ ต้องจัดสิทธิเสรีภาพประชาชน แต่ต้องดูกฎหมายอื่นๆ กฎหมายลูก กฎหมายความมั่นคง กฎหมายชุมนุนเยอะแยะไปหมด อันนี้มันมีเชิงบังคับ เชิงปฏิบัติ เป็นกรอบกฎหมายใหญ่ อย่าเอาคำว่ารัฐธรรมนูญไปพันในเรื่องของการสร้างความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะฉะนั้น ถ้ามีเหตุใดๆ มา รัฐบาลต้องรับฟังปัญหาของประชาชนทุกกลุ่ม ไปสู่การแก้ไข ไม่ใช่ให้ประชาชนต่อสู้กันเอง ดิ้นรนต่อสู้กันไปมา รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความร่วมมือ ไม่ใช่สร้างให้เกิดความขัดแย้ง ผมพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความร่วมมือคนในชาติให้ได้ หวังทุกคนเข้าใจในจุดนี้ ในวันนี้ สาเหตุที่ทำไม คสช.ต้องมาดำเนินการในเรื่องปรองดอง ก็เพราะว่าที่ผ่านมาได้ทำกันมาแล้วหลายครั้ง หลายคณะ หลายรัฐบาล แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะว่าเราไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ยังมองประเด็นแห่งปัญหาไม่ครบถ้วน ครั้งนี้ คสช.ก็พยายามจะเข้ามาเป็นคนกลางเพื่อจะแก้ไขความขัดแย้งต่างๆ ตั้งแต่ปี 2557 มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่ผมจำเป็น เป็นเหตุเป็นผลที่ผมต้องนำมาสานต่อ เพื่อจะยุติเรื่องราวต่างๆ ให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็รับฟังความเห็นทุกภาคส่วน เอาของเก่ามาดูด้วย แล้วอย่างที่บอกแล้วว่ามันไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้งอย่างเดียว มันเพื่อการที่จะเดินหน้าประเทศไปในอนาคตอีกหลายสิบ หลายร้อยปีด้วย
เรื่องการค้า การลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างที่บอกแล้วว่าเราไม่สามารถจะไปบังคับให้เขามาลงทุนเมื่อนั่นเมื่อนี่ จำนวนเท่านี้เท่านั้น มันบังคับไม่ได้หรอกครับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การที่จะมาลงทุน เราต้องสร้างสภาวะที่ปลอดภัยให้กับเขา มีกติกา มีกฎหมายที่เป็นสากล ให้สิทธิประโยชน์ที่เพียงพอ เพราะเราต้องแข่งขันกับต่างประเทศที่เขาให้สิทธิประโยชน์มากมาย มีผลต่อการดำเนินการธุรกิจของผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญที่สุดถ้าเราทำให้ประเทศเราสงบ สันติ มีการเดินหน้าปฏิรูป เห็นอนาคต และมีการเดินสู่ประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ ไม่มีการแสดงความขัดแย้งกันทางสื่อ ทางสิ่งพิมพ์ อะไรต่างๆ โซเชียลมีเดีย ทั้งในและนอกประเทศ ความเชื่อมั่นนักลงทุนก็เกิดขึ้น แล้วเขาก็จะมาลงทุน
อย่างวันนี้คะแนนความเชื่อมั่นของคนไทยในประเทศไทยก็เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 52 หรือ 54 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นถ้าเกิน 50 เขาจะพิจารณาแล้วว่าจะลงทุนกันยังไงกันต่อไป ก็รักษาไว้ ให้มากขึ้นนะครับ ความเชื่อมั่น ดัชนีความเชื่อมั่น จากการประเมินทั้งของในประเทศและต่างประเทศ ก็ดีขึ้นตามลำดับ
ผมอยากให้ประชาชนคนไทย ทุกคน ทุกอาชีพ ทุกรายได้ ได้ลองสังเกตดูดีๆ ลองนั่งนึกทบทวนเงียบๆ คนเดียวก็ได้ หลายคนก็ได้ เป็นกลุ่มก็ได้ ว่าตั้งแต่ปี 57 มาถึงวันนี้ มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมายหรือเปล่า เช่น ความสงบสุข ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การสาธารณสุข การสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ การดูเรื่องรถไฟ รถไฟฟ้า เรื่องการศึกษา เรื่องการเกษตร เรื่องน้ำ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ มันก็ดีขึ้นมากจากการประเมินของหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ของเอกชนด้วย ขณะที่โลกก็กำลังมีปัญหาเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศ สาเหตุหนึ่งก็คือจากการสู้รบ จากความขัดแย้ง มีหลายกลุ่มหลายฝ่าย ในหลายพื้นที่ด้วยกันในโลกใบนี้ แต่ประเทศไทยของเราก็ยังคงรักษาสภาพไว้ได้มากพอสมควร ไม่เป็นไปตามโลกมากนัก เพราะเราแข็งแกร่ง พื้นฐานเราดีอยู่แล้ว
ประชาชนอาจจะต้องได้รับประโยชน์มากขึ้นในอนาคต วันนี้อาจจะยังไม่พอเพียง ไม่มากเพียงพอ เรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการจัดระเบียบ เริ่มต้นปฏิรูปเศรษฐกิจ จัดทำกฎหมาย ปฏิรูประบบราชการ การบริหารราชการที่ต้องเน้นเชิงผลสัมฤทธิ์ การจัดทำงบประมาณให้สมดุล ทั้งรายจ่ายประจำ งบลงทุน การสร้างแหล่งเงินทุนใหม่ สร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น EEC เขตเศรษฐกิจพิเศษ สิ่งเหล่านี้กำลังเดินหน้า จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่พวกเราทุกคน เรายังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ได้ไม่มาก เพราะมันเป็นระยะแรกของการลงทุน ถ้าเราทำมานานแล้ว วันนี้ก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้แล้ว นี่เพิ่งมาเริ่ม มันก็อาจจะช้าไปสักนิด แต่ก็จะพยายามเต็มที่นะครับ
เมื่อมันสำเร็จแล้วก็จะเกิดรายได้ เกิดห่วงโซ่คุณค่า มีธุรกิจต่อเนื่องเกิดขึ้นมากมาย ประชาชนก็จะมีรายได้ มีโอกาส มีทางเลือกมากขึ้นตามระยะเวลาที่มีผลสัมฤทธิ์ไปตามลำดับ ในปีหน้า ปีโน้น 5 ปี 10 ปี 20 ปี มันก็มั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ มันต้องใช้เวลา รัฐบาลก็พยายามเร่งอย่างเต็มที่ หลายอย่างก็ติดขัดด้วยข้อกฎหมาย ในขั้นตอนที่สำคัญ เราก็ไม่สามารถจะยกเลิกขั้นตอนสำคัญเหล่านั้นได้ อาจจะเร่งเวลาให้เร็วขึ้น ทำพร้อมกัน อาจจะลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญลงไปได้บ้าง มันก็อาจจะไม่มากนัก การใช้จ่ายงบประมาณด้านการสาธารณสุข การศึกษา การขนส่งมวลชน เด็กเล็ก สังคมสูงวัย นับวันจะสูงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรัฐจะต้องดูแลค่าใช้จ่ายเหล่านี้ฟรี เป็นรัฐสวัสดิการสำหรับประชาชนทั้งประเทศ แล้วก็ต้องใช้จ่ายเพื่อการเยียวยา ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ การก่อสร้าง การทำสัญญาที่ล่าช้า ติดขัดจากการบุกรุก ไม่ยินยอม เหล่านี้มันทำให้ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อทำไม่ได้มันก็มีปัยหาเรื่องการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เราก็ต้องแก้ไข ปราบปรามทุจริตไปด้วย การทำงานมันก็เลยยิ่งช้าไปหนักขึ้น
วันนี้ก็เปรียบเสมือนว่าถ้าเราไม่ต้องแก้ไขของเดิม หรือแก้ไขปัญหาเดิมที่ปล่อยปละละเลยเอาไว้ หรือไม่ได้เริ่มไว้ กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย มีการทุจริต งบประมาณรั่วไหล เราก็คงจะทำทุกอย่างได้เร็วกว่านี้ 3 ปียังทำได้เท่านี้เลย เหมือนเราจะทำถนน เราจะต่อถนนออกไป ขยายถนนออกไป หรือทำทางด่วน ทำไฮเวย์ให้มากขึ้น ให้ยาวขึ้น เชื่อมโยงให้ถึงกันให้มากขึ้น มันก็น่าจะง่ายกว่า เร็วกว่าที่เราจะต้องไปทำในเส้นปัจจุบัน เปรียบเสมือนว่าไปขุดของเก่า ไปสร้างใหม่ ไปซ่อมของเดิมพร้อมกันกับเริ่มของใหม่ไปด้วย มันใช้เงินสองอย่างไง ถ้าของเก่ามันไม่ดีก็ต้องทำของเก่าไปด้วย แล้วสร้างของใหม่ไปพร้อมกันด้วย มันรอกันไม่ได้สักอย่าง เพราะมันเป็นอนาคต นี่มันเป็นอดีต แล้วนี่คือเราอยู่ตรงปัจจุบัน ให้ทุกคนช่วยกันคิดแบบนี้ที่ผมพูด ลองดูนะครับ ผมก็อยากจะขอความร่วมมือมากขึ้นในช่วงปีใหม่ไทย 2560 หลังสงกรานต์นี้ด้วย
สุดท้ายนี้ เนื่องจากวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี ก็จะเป็นวันคุ้มครองโลก ที่มีความสำคัญทางสิ่งแวดล้อมของโลก ผมขอถือโอกาสช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ เชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย นอกจากจะเล่นน้ำสงกรานต์อย่างประหยัดแล้ว เพื่อการสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศ ผมก็อยากให้จัดกิจกรรมงานรื่นเริงต่างๆ ที่จะต้องคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น การไม่ปล่อยทิ้งขยะตามที่สาธารณะ ถุงพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหาร ขวดน้ำดื่ม เครื่องดื่มอะไรก็แล้วแต่ เราต้องไม่ทิ้งเกลื่อนกลาด ทิ้งลงที่ แล้วไม่เป็นบ่อเกิดของความสกปรก เชื้อโรค หมักหมมอะไรต่างๆ เหล่านี้ อันตรายนะครับ คนเยอะ เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเริ่มต้นสงกรานต์นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนตั้งใจจะทำเพื่อประเทศชาติ ลดขยะให้ได้ ลดถุงพลาสติกให้มากที่สุด ลดภาระให้เจ้าหน้าที่ที่เขาต้องเก็บจนไม่หวาดไม่ไหวทุกวันนี้ ต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน แล้วก็ทำอะไรก็ตามที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มันก็จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
การดื่มสุรา การขายสุรา ในพื้นที่ที่มีการเล่นสงกรานต์ ผมขอร้อง อย่าให้ต้องบังคับใช้กฎหมาย ขอร้องอย่าจำหน่ายในช่วงนั้น เพราะมันจะทำให้การละเล่นต่างๆ เหล่านั้นมันเลยประเพณีไปแล้ว มันไปสนุกแบบขาดความยับยั้งชั่งใจ เพราะฉะนั้นก็ขอให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือกำลังไปท่องเที่ยว แล้วก็เตรียมเดินทางกลับในสัปดาห์หน้า ผมขออวยพรให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ขอขอบคุณทุกหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ได้เสียสละร่วมกันอำนวยความสะดวก ทั้งในประเทศ และตามแนวชายแดนด้วย รวมถึงผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ต่างประเทศ ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เราช่วยกันอำนวยความสะดวก ดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย เพื่อเกิดความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนชาวไทยของเรา แล้วก็แขกชาวต่างประเทศที่มาเที่ยวประเทศเราด้วย ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ขอให้มีความสุขกับครอบครัวมากๆ สวัสดีครับ