เมืองไทย 360 องศา
นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเมื่อวันก่อนช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำทีมคณะรัฐมนตรี และผู้บัญชาการเหล่าทัพ และนายทหารระดับสูงตบเท้าเข้าขอพร “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ถึงไม่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าไปด้วย เพราะถ้าพิจารณากันตามลำดับความสำคัญแล้ว เขาต้องมีรายชื่ออยู่ในลำดับต้นๆ อย่างน้อยก็ต้องยืนอยู่ข้างหลัง พล.อ.ประยุทธ์ แน่นอน
แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ไปมันก็แปลกใจเหมือนกัน เกิดคำถามในใจ แต่วันนี้มีการเฉลยออกมาแล้วว่า สาเหตุที่ “เก็บตัวเงียบ” ในช่วงนี้ เพราะ “เครียด” ไม่สบายหลายเรื่อง ในลักษณะที่เรียกว่า “งานเข้า” ต่อเนื่องกัน เริ่มตั้งแต่สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เริ่มปะทุรุนแรงขึ้นมาอีก
เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิด “ไปป์บอมบ์” ในถังขยะบริเวณหน้าสำนักงานกองสลากหลังเก่า เมื่อค่ำวันที่ 5 เมษายน ก่อนวันพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่วันที่ 6 เมษายน เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุชัดว่า เป้าหมายของผู้ก่อเหตุมีเจตนาข่มขู่ ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อชีวิต แต่สำหรับความหมายที่เข้าใจได้ ก็คือ เป็นการก่อเหตุใน “เชิงสัญญลักษณ์” บางอย่าง ซึ่งหลายคนก็สันนิษฐานตรงกันว่า เป็นฝีมือของกลุ่มการเมืองใด ที่เสียประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เรื่องต่อมาเป็น “อีกดอก” หนึ่งที่โดนเข้าไปเต็มๆ สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็คือ เรื่องการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บังคับให้ทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ และห้ามนั่งโดยสารในกระบะแค็บ และห้ามนั่งท้ายรถกระบะ ที่ถูกชาวบ้านรุมถล่มกันเละว่าเป็นคำสั่งที่ยังไม่เหมาะกับวิถีชีวิตคนไทยในเวลานี้ จนต้องถอยต้องมีการผ่อนผันกันไป ซึ่งเรื่องหลังนี้เขาก็แอ่นอกรับว่าเป็น “คนต้นคิด” ชงให้นายกฯลงนามในคำสั่งจนถูกยำจนมึน
มีเรื่องซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ทั้งรถถัง และ “เรือดำน้ำ” จากเมืองจีน ก็ถูกวิจารณ์หนักๆ ในทางลบ และ ยัง ยังไม่พอมีเรื่อง “บ่อนชายแดนไทย - เขมร” ที่บริเวณด่านช่องสายตะกู ที่มีการอ้างสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อน รวมไปถึงการยืนยันเป็นพื้นที่ของไทย แต่สายตาก็จับจ้องมาที่ “พี่ใหญ่” อีกเช่นเคย
เรื่องหลักๆ ประมาณนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเครียดหรือเปล่า เพราะตามรายงานบอกว่าในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วงเช้าก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา เขาก็ไม่ปรากฏตัว โดยมีรายงานว่าได้ยื่นใบลาไปต่างประเทศ จนถึงวันที่ 16 เมษายน มีการระบุว่า “เหนื่อยและเครียด” ขอไปพักผ่อนรักษาสุขภาพสักระยะหนึ่งก่อนค่อยกลับมาใหม่ ก็ถือว่า “ลายาวและชิ่งหลบร้อน” ไปก่อน
กลายเป็นว่าเวลานี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำลังตกเป็นเป้าในเชิงลบหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสำคัญเป็นเพราะ “คุมเอาไว้ทุกอย่าง” ในมือ ดังนั้น แทบทุกเรื่องก็ไม่อาจปัดให้พ้นตัวไปได้ และที่สำคัญเรื่องสำคัญหลายเรื่องมันก็เกิดขึ้นจริงเสียด้วย เช่น เรื่องการผลักดันในการซื้ออาวุธของกองทัพแบบ “ล็อตใหญ่” ต่อเนื่องกันหลายรายการ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ต้องชงเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะโครงการซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนของกองทัพเรือที่ใช้งบผูกพันประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โครงการแบบนี้มันก็ต้อง “ล่อเป้า” อยู่แล้ว แต่แม้ว่าจะถูกวิจารณ์ทางลบแค่ไหนแต่ก็ “เอาแน่”
สำหรับในภาพรวมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือว่า เป็น “หลัก” ด้วยลักษณะ “พี่ใหญ่” กว้างขวางมีบารมี ทำให้ได้รับอำนาจแทนนายกฯและหัวหน้า คสช. ให้รับผิดชอบดูแลงานด้านความมั่นคง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ได้รับ “อำนาจ” มาเต็มบ่าด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องตกเป็นเป้า และที่สำคัญหาก “พลาด” ขึ้นมาเมื่อใดมันก็ย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง เหมือนกับในเวลานี้ที่มี “แรงกระหน่ำ” เข้ามาแรงๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะหากในงานความมั่นคงที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่พ้น ก็คือ เหตุการณ์ลอบวางระเบิดไปป์บอมบ์ หน้าสำนักกองสลากอาคารเก่า ก่อนวันพระราชทานรัฐธรรมนูญหนึ่งวัน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และจนบัดนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้แถลงความคืบหน้าในการสืบหาตัวคนลงมือก่อเหตุแต่อย่างใด และต่อเนื่องไปถึงการ “หายหน้า” ไปจากจอในช่วงที่ นายกฯนำคณะรัฐมนตรีและขุนทหารใหญ่ตบเท้าเข้าขอพร “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสา ถือเป็นเรื่อง “ผิดปกติ” หากอ้างว่าติดภารกิจ มันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะกำหนดการแบบนี้มันไม่ใช่จะเลี่ยงกันง่ายๆ
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการเฉลยกันว่า “พี่ใหญ่” กำลัง “งานเข้า” หลายเรื่องมันก็ชัด เพราะแต่ละเรื่องที่ประดังเข้ามามันระดับ “งานช้าง” ทั้งนั้น และที่สำคัญ ที่ผ่านมา พี่คนนี้ในสายตาชาวบ้านก็มองเป็น “สีเทา” อยู่แล้ว เมื่อเจอเข้าหลายดอกซ้ำๆ ก็ระวังจะกระเทือนไปทั้งรัฐบาล โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ บางทีวิ่งฉิวมาดีๆ ก็สะดุดหัวแม่เท้าตัวเองจนล้มคว่ำ ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว !!