เมืองไทย 360 องศา
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่พอจะแสดงความคิดเห็นต่างเร่งเร้าให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่อนคลายกฎระเบียบความเข้มงวดที่เคยมีมานานนับปีตั้งแต่เข้ามาควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค และ ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคออกมาเรียกร้องให้ คสช. ยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม
ล่าสุด วันที่ 10 เมษายน ก็ได้ออกแถลงการณ์ในนามพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งรัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยอ้างคำสัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เคยระบุว่า ได้วางโรดแมปการเลือกตั้งเอาไว้ในต้นปี 2561 และระบุว่า ที่ผ่านมา ในช่วง 5 เดือนเศษก็มีการเตรียมการออกกฎหมายลูกมาแล้วในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ยังเรียกร้องแบบดักคอว่า หัวหน้า คสช. ไม่ควรใช้ “อำนาจพิเศษ” ใดๆ ในช่วงนี้เนื่องจากเป็นการขัดเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และไม่เคารพในพระราชอำนาจ และเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และที่สำคัญ ควรพิจารณาคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ที่บอกว่าอย่าได้แปลกใจกับท่าทีแบบนี้ของพรรคเพื่อไทย เพราะตามโรดแมปใหม่ที่เพิ่งมีการประกาศออกมาทั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายที่ระบุออกมาแล้วว่า การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในราวปลายปี 2561 แต่ก็มีการคาดหมายกันว่าน่าจะบวกลบอีก 2 เดือน ก็น่าจะเป็นไปได้เหมือนกันว่าอาจมีการเลือกตั้งในต้นปี 2562 พูดกันแบบตรงไปตรงมาว่า “ยื้อ” กันตามกรอบเวลาให้นานที่สุด
เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มมันก็เห็นทิศทางไปทางนั้นมากขึ้น สาเหตุมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรู้สึกของชาวบ้านเมื่อทราบข่าวว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วยัง “เฉยๆ” ไม่ค่อยกระตือรือร้นมากนัก หากเปรียบเทียบกับบรรยากาศในยุคเผด็จการก่อนๆ ในทางตรงกันข้ามส่วนใหญ่กลับมองไปอีกทางยิ่งเห็นหน้าพวกนักการเมืองลอยเข้ามาหลายคนทำหน้าสะอิดสะเอียน จะมีบ้างที่อยากให้มีการเลือกตั้ง เช่นพวกมองโลกสวย พวกบ้าประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งว่านี่คือสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ต้องกำหนดผู้นำและรัฐบาลด้วยตัวเองอะไรประมาณนั้น และแน่นอนว่า ในจำนวนนั้นก็ต้องมีพวกนักการเมืองในพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายมวลชนพวกเดียวกัน คือ กลุ่มแกนนำ นปช. ที่เคยได้ประโยชน์จากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว
เมื่อตัดภาพแยกออกมาโฟกัสเฉพาะพรรคเพื่อไทย และ แกนนำ นปช. มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะต้องไม่ลืมคนพวกนี้กำลังถูกดำเนินคดีถูกตัดสินจำคุกถูกยึดทรัพย์ในหลายความผิดและหลายคดีศาลได้พิพากษาจนได้ข้อยุติกันไปแล้ว อีกหลายคดีกำลังงวดเข้ามาเรื่อยๆ และมีความเสี่ยงจนน่าหวาดเสียว
ที่สำคัญ ระดับ “แถวหนึ่ง” แถวสองในภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ร่วงกันระนาว” หลายคนถูกจำคุก ถูกยึดทรัพย์ และที่น่าลุ้นก็คือ “หัวใจของเจ้าของพรรค” คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังถูกดำเนินคดีจากโครงการรับจำนำข้าวทั้งอาญาและแพ่ง คดีอาญาก็งวดเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใกล้จะมีการตัดสินอีกไม่นานนี้ ขณะที่คดีทางแพ่งถูกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายนับหมื่นล้านบาท แม้จะใช้เวลาอีกนานนับปีแต่ถ้า “ป็อก” ขึ้นมาก็ยุ่งแน่
ก่อนหน้านี้ หากติดตามสถานการณ์จะเห็นว่าหลายคนถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติถอดถอนออกจากตำแหน่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
คนพวกนี้ทั้งเคยถูกจำคุก เคยถูกถอดถอนจากตำแหน่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง พวกนี้ล้วนเข้าข่าย “คุณสมบัติต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หมดสิทธิ์ลงสมัคร สส.และหมดสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นี่ไม่ต้องพูดถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องคำพิพากษาจำคุก ต้องคดีทุจริตมากมายโดนเข้าไปเต็มๆ
อีกมุมหนึ่งมันจึงเป็นคำตอบว่าทำไมพวกเขาถึงได้ “ทุรนทุราย” ต้องเร่งรัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพราะมีทางเดียวที่จะได้ลุ้นกลับคืนสู่สถานะเดิม หรืออย่างน้อยก็เพิ่มอำนาจการต่อรองมากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ว่าหนทางข้างหน้าในเส้นทางเลือกตั้งในความเป็นจริงแล้วมันไม่หมู เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้วทั้งบรรยากาศ กติกาใหม่ ไม่เหมือนเดิมแทบจะสิ้นเชิง แต่สำหรับพวกเขามันก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากยิ่งทอดเวลานานนานออกไปเท่าใด มันก็ยิ่งบีบรัดเข้ามาทุกขณะ และลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันเวลาที่เหลืออีกนานนับปีจะมีอีกกี่คดีที่จะสรุปออกมาจะ “ร่วง” ลงไปอีกกี่คน
ดังนั้น หากพิจารณาตามความเป็นจริงถามว่าในเวลานี้ใครที่อยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดคำตอบก็มีอยู่อย่างเดียว ก็คือ พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านยังเฉยๆ อย่างน้อยก็รอให้เป็นไปตามโรดแมป ยกเว้นมีการ “ออกลาย” จนชาวบ้านเกิดอารมณ์เปลี่ยน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง !!