xs
xsm
sm
md
lg

กาง “แผนที่เขมร” จับโกหก “ทหารใหญ่” “กาสิโนสายตะกู” อยู่นอกเขตกัมพูชาชัดเจน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิดฉันใด เรื่องใหญ่ขนาดการสูญเสียอธิปไตย ก็คงทำให้เงียบไปไม่ได้ฉันนั้น

แม้ความพยายามของ “ขาใหญ่” ในรัฐบาลทหาร และ “คนโต” แห่งเมืองปราสาทเขาพนมรุ้ง จะสกัดไม่ให้ วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) เข้าไปสำรวจพื้นที่ตั้งของบ่อนกาสิโนขนาดใหญ่ที่ผุดขึ้นมาบนพื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้สำเร็จ และเหมือนเรื่องดูจะเงียบไป แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หลังมีข้อมูลที่น่าสนใจออกมาอีกชุด

เป็น วีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ ผู้พกดีกรีอดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ออกโรงทำคลิปมาประจานเรื่องโป้ปดมดเท็จของ “ผู้มีอำนาจ” เกี่ยวกับ “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” ที่ตั้งของบ่อนสายตะกูบ้าง

โดย อาจารย์วีรพันธุ์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนโพสต์คลิปวีดีโอบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Veerapan Maleipan เพื่อแสดงหลักฐานให้เห็นว่า มีหลักฐานน่าเชื่อว่า บ่อนกาสิโนบริเวณช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ อยู่ในเขตแดนไทย ในขณะที่เสนาบดีในรัฐบาลต่างยืนยันว่า ตั้งอยู่ที่เขตกัมพูชา เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ แท้จริงแล้วกาสิโนดังกล่าวได้สร้างนอกเขตแดนประเทศกัมพูชา

หลักฐานเด็ดที่ถูกงัดออกมา คือ “แผนที่ 1 : 200,000” ที่ทางประเทศกัมพูชาเคยกอดไว้แน่น และนำไปใช้อ้างสิทธิเขตแดนประเทศบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ต่อศาลโลกถึง 2 ครั้ง จนเป็นฝ่ายชนะฝ่ายไทยไปทั้ง 2 ครั้งนั้นเอง

มาคราวนี้ อาจารย์วีรพันธุ์ ปล่อยของ โดยนำ “แผนที่ 1 : 200,000” มา “ย้อนศร” ให้เห็นกันจะจะว่า บริเวณที่ตั้งบ่อนอยู่ในเขตไทย แล้วเมื่อนำมาวางซ้อนทับกับแผนที่ L7018 ที่ฝ่ายไทยใช้อ้างอิง ก็จะเห็นว่าที่ตั้งของบ่อนตั้งอยู่ชิดใกล้เส้นเขตแดน ซึ่งเป็น “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน”

ก่อนหน้านี้ อาจารย์วีรพันธุ์ ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ว่า ทหารใหญ่ไปประชุม เคยถามคนเขมรไหมว่า You (มึง) ใช้แผนที่อะไรอ้างเขตแดนประเทศ You (มึง) กันแน่ (ว่ะ) ไอ้บ่อน - ตลาด - โรงแรม ที่ You (มึง) มาสร้างน่ะ มันอยู่ในเขตประเทศไทยของ I (กู) นะ”

ซึ่งหากตีความไม่ผิดก็คงหมายถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 29 - 30 มี.ค. ที่ฝ่ายไทยนำไปโดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ อาจารย์วีรพันธุ์ ยังเคยให้สัมภาษณ์ถึงข้อตกลง MOU 2543 ว่า ไทยและกัมพูชามีเงื่อนไขชัดเจนว่า ทั้ง 2 ฝ่ายห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในเขตพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในรัศมี 130 เมตร

พร้อมระบุว่า “แต่เมื่อลองลากเส้นจากแนวรั้วของจุดผ่อนปรนช่องสายตะกูในฝั่งไทยไปยังบ่อนกาสิโนในลักษณะเฉียงได้ระยะประมาณ 150 เมตร แต่ถ้าหากวัดในแนวตรงเชื่อว่าไม่ถึง 130 เมตร ตามข้อตกลง อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยจะต้องพิสูจน์เพราะเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงใน MOU 2543 แต่ที่ชัดเจนคือ ที่ตั้งของบ่อนกาสิโนอยู่นอกเขตประเทศกัมพูชาแน่นอน”

อยู่นอกเขตกัมพูชา ก็คงเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากอยู่ในเขตชายแดนไทย

ตรงนี้มีมูลอย่างมาก เพราะถ้าจำกันได้ “บิ๊กป้อม” ที่กำกับดูแลความมั่นคงทั้งประเทศ ที่แม้จะตำหนิการเคลื่อนไหวของนายวีระ ยังเคยยอมรับเต็มปากว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็น “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน”

เพื่อให้ไม่เป็นการปรักปรำขอนำคำให้สัมภาษณ์ของ “บิ๊กป้อม” เมื่อวันที่ 21 มีนาคม มารีรันฟังกันชัดๆ อีกที “ก็เป็นพื้นที่ของทางกัมพูชา เพราะยังไม่ชัดเจนเรื่องพื้นที่ก็อ้างสิทธิกันไป นายวีระก็ไปอ้างสิทธิว่าเป็นของไทย ก็ต้องตกลงกันเพราะความชัดเจนยังไม่มี แต่เรื่องนี้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนอยู่แล้ว ต้องรอให้ปักปันให้ชัดก่อน ฉะนั้น อย่าไปเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ขณะนี้ยังเป็นพื้นที่อ้างสิทธิต่างคนต่างอ้างสิทธิ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”

นี่คือ สิ่งที่เพิ่มน้ำหนักให้ข้อมูลของ อาจารย์วีรพันธุ์ ได้เป็นอย่างดีว่า พื้นที่ตรงบริเวณดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน แต่เหตุใดไทยจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทั้งที่มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างเอาไว้แล้ว ที่สำคัญ เป็นบ่อนการพนันขนาดใหญ่ ที่เตรียมกวาดต้อนคนไทยเข้าไปถลุงเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน

คำถามมีว่า เหตุใดเราไม่พยายามทักท้วงหรือคัดค้านใดๆ ทั้งที่หากเป็นพื้นที่อ้างสิทธิจริง ย่อมมีเหตุผลให้ทางกัมพูชาระงับการก่อสร้างเอาไว้เพื่อไม่ให้มีปัญหา เพราะถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า ถ้าเรากลัวว่าทำอะไรลงไปจะกระทบความสัมพันธ์ ทางกัมพูชาเองเมื่อรู้ว่าชักเริ่มมีปัญหาเขาก็จะต้องกลัวกระทบความสัมพันธ์เหมือนกันในฐานะเพื่อนบ้าน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนกับว่า เราเอ็นดูเขา แต่เอ็นเรากำลังจะขาด!

ซึ่งจนบัดนี้ทางการไทยก็ยังไม่มีทีท่าอะไรต่อเรื่องดังกล่าว นอกจากการห้ามปรามนายวีระเข้าไปในพื้นที่ กระทรวงการต่างประเทศยังนิ่ง แม้แต่คนที่ดูแลความมั่นคงอย่าง “บิ๊กป้อม” ก็ยังนิ่ง แถมปกป้องฝ่ายนู้นด้วยว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด

หรือนี่เป็นสไตล์การรักษาความมั่นคง - ป้องกันประเทศตามคำนิยามของ “บิ๊กป้อม” ที่ด้านหนึ่งกำลังงุ่นง่านอยู่กับการซื้อเรือดำน้ำมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท รถถังอีกหลายพันล้านบาท สานฝันให้ทางกองทัพ โดยข้ออ้างสำคัญว่า เพื่อแสดงแสนยานุภาพในการปกป้องประเทศ แต่อีกด้านปล่อยให้ข้าศึกมาปักพื้นที่ล้ำเขตแดนไทยอย่างหน้าตาเฉย

เรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มีความสำคัญต่อการปกป้องประเทศ คงไม่มีใครว่าอะไร “หากมีความจำเป็น” หากแต่การซื้อมาแล้วไม่ได้เอาไปปกป้องอธิปไตยของประเทศ ตรงนี้ต่างหากที่คนไทยคงรับไม่ได้

โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ทับซ้อน-พื้นที่อ้างสิทธิ ที่ไม่จำเป็นต้องรบราฆ่าฟันกัน เพียงแค่ทักท้วงด้วยวิธีทางการทูต และหาบทสรุปให้ได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในบริเวณของใคร และใครสามารถเข้าไปทำประโยชน์ได้เท่านั้น

หรือว่า การป้องกันประเทศตามคำนิยามของท่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงคือ การตุนอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ให้มากที่สุดในช่วงที่มีอำนาจเท่านั้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น