สตง.เปิดผลสอบ “โครงการน้ำบาดาลโรงเรียนทั่วประเทศ” ย้อนหลัง 7 ปีของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกว่า 3 พันแห่ง มูลค่า 4 พันล้าน พบ 46 แห่ง วงเงิน 59 ล้าน ส่อสูญเสียโอกาสในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ ร.ร.ที่มีสภาพปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรง พบบางโครงการไม่คุ้มค่าและเกิดความสูญเปล่า เหตุ ร.ร.บางแห่งใช้น้ำประปา กปภ.ซ้ำซ้อนกับงบน้ำบาดาลโรงเรียน
วันนี้ (31 มี.ค.) มีรายงานว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนน้ำดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2557 จำนวน 3,178 แห่ง วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 4,003.44 ล้านบาท และยังมีโรงเรียนเป้าหมายที่จะต้องดำเนินการอีกจำนวน 6,132 แห่ง โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
จากการตรวจสอบโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2557 จำนวน 200 แห่ง พบว่ามีโรงเรียนที่ใช้น้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เพื่ออุปโภคบริโภคภายในโรงเรียนก่อนเข้าร่วมโครงการจำนวน 46 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 23.00 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบทั้งหมด ซึ่งภายหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วโรงเรียนดังกล่าวส่วนใหญ่ยังมีการใช้น้ำประปาของ กปภ.เป็นแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคของโรงเรียนควบคู่ไปกับระบบประปาบาดาลของโครงการ โดยพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่จำนวน 26 แห่ง เข้าร่วมโครงการเนื่องจากต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้น้ำประปาของ กปภ.
ทั้งนี้ยังพบด้วยว่า มีโรงเรียนไม่ได้ใช้ประโยชน์จากระบบประปาบาดาล หรือระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ จำนวน 28 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 14.00 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบทั้งหมด โดยมีโรงเรียนไม่ได้ใช้ประโยชน์ระบบประปาบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ จำนวน 13 แห่ง มีปัญหาสูบน้ำบาดาลไม่ขึ้นจำนวน 5 แห่ง อุปกรณ์ชำรุดเสียหายจำนวน 4 แห่ง ปัญหาการบริหารจัดการจำนวน 2 แห่ง ปัญหาคุณภาพน้ำจำนวน 1 แห่ง และปัญหาโรงเรียนถูกยุบรวมกับโรงเรียนอื่นจำนวน 1 แห่ง มีโรงเรียนไม่ได้ใช้ประโยชน์ระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำในการผลิตน้ำดื่มจำนวน 15 แห่ง โดยพบปัญหาการบริหารจัดการและดูแลระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำจำนวน 9 แห่ง อุปกรณ์ชำรุดเสียหายจำนวน 4 แห่ง และปัญหาคุณภาพน้ำจำนวน 2 แห่ง
สตง.ยังพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ขยายผลสู่การผลิตน้ำดื่มเพื่อสร้างรายได้ตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ โดยตามรูปแบบที่ 1 จำนวน 165 แห่ง และมีการผลิตน้ำดื่ม จำนวน 141 แห่ง พบว่า โรงเรียนจำนวน 91 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 64.54 ของโรงเรียนที่มีการผลิตน้ำดื่ม ไม่ได้ขยายผลสู่การผลิตน้ำดื่มเพื่อสร้างรายได้ ตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ
โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อบริโภคเฉพาะนักเรียนและบุคลากรภายในโรงเรียน จำนวน 63 แห่ง และผลิตเพื่อบริโภคสำหรับนักเรียนและบุคลากร ภายในโรงเรียนรวมถึงให้บริการชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจำนวน 28 แห่ง ซึ่งรูปแบบการให้บริการน้ำดื่มส่วนใหญ่ใช้วิธีการบรรจุใส่ถังขนาด 20 ลิตร ไปไว้ที่เครื่องทำน้ำเย็น หรือบรรจุใส่ภาชนะที่มีฝาปิดน้าไปไว้ในห้องเรียน หรือใช้วิธีการต่อท่อน้ำจากอาคารปรับปรุงคุณภาพน้ำไปยังจุดบริการน้ำดื่มของโรงเรียน การที่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตน้ำดื่มจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ ทำให้อุปกรณ์และอาคารที่ออกแบบรองรับกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ใช้งานตามวัตถุประสงค์ และมีปริมาณการผลิตน้ำดื่มโดยเฉลี่ยต่อวันต่ำกว่าปริมาณการผลิตขั้นต่ำของระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนและบุคลากรต่ำกว่าเกณฑ์การออกแบบระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ
สตง.ยังพบว่า การบริหารจัดการระบบประปาบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำของโรงเรียนขาดประสิทธิภาพ โดยโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการบริหาร จัดการระบบประปาบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ได้รับมอบจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2556 จำนวน 127 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 76.97 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบจำนวน 165 แห่ง ไม่ได้จัดทำแผนงบประมาณประจ้าปีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายซึ่งใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ที่ผ่านมาโรงเรียนส่วนใหญ่จะใช้เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัว หรือบางแห่งจะใช้เงินรายได้จากการจำหน่ายน้ำดื่มหรือรายได้อื่นๆ ของโรงเรียน มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 31 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 88.57 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบจำนวน 35 แห่ง ยังไม่ได้เตรียมวางแผนงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานระบบ เนื่องจากโรงเรียนเริ่มใช้งานระบบและยังไม่มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2557 และมีการจำหน่ายน้ำดื่มจำนวน 57 แห่ง พบว่า มีโรงเรียน จำนวน 13 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 22.81 ของโรงเรียนที่มีการจำหน่ายน้ำดื่ม ไม่ได้จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำให้ไม่ทราบว่าในแต่ละปีมีค่าใช้จ่าย และรายรับจากการจำหน่ายน้ำดื่มมากน้อยเพียงใด ส่งผลต่อการวางแผนงบประมาณในอนาคต
ยังพบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบและอาคารปรับปรุง คุณภาพน้ำ โดยโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2556 จำนวน 118 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 71.51 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบ จำนวน 165 แห่ง ไม่ได้วางแผนบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามระยะเวลา ที่คู่มือกำหนด ส่วนใหญ่บำรุงรักษาระบบตามสภาพการใช้งานโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าจะดำเนินการ เมื่อใด ส่วนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 18 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 51.43 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบ จ้านวน 35 แห่ง ยังไม่ได้วางแผนบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ของระบบ โดยโรงเรียนส่วนใหญ่บำรุงรักษาตามสภาพการใช้งาน
โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก จากการตรวจสอบโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2556 จำนวน 165 แห่ง พบว่า โรงเรียน จำนวน 137 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 83.03 ของโรงเรียนที่ตรวจสอบ ไม่เคยตรวจสอบ คุณภาพน้ำดื่มที่ผลิตได้ว่าเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกหรือไม่ โดยผู้บริหารโรงเรียนและ ผู้ดูแลระบบส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพน้ำ ไม่ทราบว่าน้ำดื่มตามมาตรฐานของ องค์การอนามัยโลกเป็นอย่างไร การที่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการไม่ได้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคอย่างรุนแรง และโรงเรียนบางแห่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ระบบประปาบาดาล หรือระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ รวมทั้งโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ขยายผลสู่การผลิตน้ำดื่มเพื่อสร้างรายได้ตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบระบบปรับปรุง คุณภาพน้ำ ตลอดจนการบริหารจัดการระบบประปาบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำของโรงเรียน ขาดประสิทธิภาพ ท้าให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสูญเสียโอกาสในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่โรงเรียนที่มีสภาพปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรงมากกว่า จำนวน 46 แห่ง เป็นเงิน 59,602,000.00 บาท การใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการไม่คุ้มค่าและเกิดความสูญเปล่า ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบโครงการ รวมทั้งไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้โรงเรียนมีน้ำที่มีคุณภาพใช้อย่างทั่วถึงในทุกกิจกรรมทั้งโรงเรียน และมีน้ำดื่มที่มีคุณภาพได้ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ของระบบประปาบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ รวมทั้งอาคารปรับปรุงคุณภาพน้ำมีอายุการใช้งานสั้นลง คุณภาพน้ำไม่เป็นไปตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก และขาดความยั่งยืน
สาเหตุสำคัญเกิดจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลไม่ได้กำหนดแนวทางการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการตามล้าดับความรุนแรงของสภาพปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค การจัดทำโครงการไม่ได้กำหนดให้มีกิจกรรมสำรวจและคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ ทำให้ สทบ.เขต ขาดการสำรวจสภาพแหล่งน้ำและสภาพปัญหาความขาดแคลนน้ำของโรงเรียนอย่างจริงจัง รวมทั้งการออกแบบโครงการไม่ได้คำนึงถึงความต้องการและความพร้อมของโรงเรียนที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่ม ตลอดจนขาดการติดตามประเมินผลโครงการที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขาดการประสานงานร่วมกันในการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ และไม่มีการขับเคลื่อนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ฉบับวันที่ 17 กันยายน 2552 ให้เป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานที่กำหนด
ขณะเดียวกัน สตง.ได้ทำข้อเสนอแนะถึงอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ถึงโครงการนี้ด้วย