xs
xsm
sm
md
lg

“ธีระชัย” แฉผลประโยชน์นับแสนล้าน เบื้องหลังคัดค้านบรรษัทพลังงานแห่งชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(ภาพจากแฟ้ม)
อดีต รมว.คลังชี้เบื้องหลังคัดค้าน “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ” คือผลประโยชน์ปีละหลายแสนล้านบาท จากการผูกขาดรับซื้อก๊าซธรรมชาติจากเอกชนผู้ได้สัมปทานในราคาถูกกว่าท้องตลาด รวมทั้งผูกขาดรับซื้อก๊าซในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ปัจจุบันใครได้ผลประโยชน์ก้อนโตนี้ และใครจะเสียประโยชน์ถ้ามีบรรษัทมาใช้สิทธินี้แทน

วันนี้ (29 มี.ค.) ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Thirachai Phuvanatnaranubala ของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความหัวข้อเรื่อง “3 ทหาร หรือ 6 ทหาร มันเป็นผลประโยชน์ก้อนโต” โดย ระบุว่า ขณะนี้ประชาชนกำลังสับสนเกี่ยวกับบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายต่อประเทศ

“ในมุมหนึ่ง เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ยืนยันว่าจำเป็นต้องมีบรรษัทฯ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในอีกมุมหนึ่ง ผู้คัดค้านบอกว่าจะเป็นการผูกขาด เปิดช่องให้นักการเมืองแทรกแซง และต่อไปอาจจะล้มละลายเหมือนบางประเทศ

ล่าสุด ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล (อดีตรองนายกรัฐมนตรี) ได้แถลงข่าว นอกจากแสดงความเห็นคัดค้านบรรษัทฯ โดยวาดภาพเสมือนว่าจะทำให้ย้อนยุคถอยหลังกลับไปช่วงเวลา น้ำมัน 3 ทหาร เมื่อห้าสิบปีก่อน และยังกล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ (ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เพิ่มมาตรา 10/1 (ในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม) เกี่ยวกับบรรษัทฯ ทั้งที่รัฐบาลมิได้เสนอ โดยพาดพิงถึงนายทหาร 6 คน ยิ่งทำให้ประชาชนสับสนและสงสัยว่า มีแผนเบื้องหลังที่ฝ่ายทหารจะเสนอตั้งบรรษัทฯ เพื่อประโยชน์ของกรมพลังงานทหารหรือไม่ ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ปฏิเสธว่าฝ่ายทหารมิได้มีความประสงค์จะเข้าไปมีผลประโยชน์ในบรรษัทฯ

ทั้งนี้ ผู้ที่ติดตามสถานการณ์มาระยะหนึ่ง อาจจะตั้งคำถามว่า ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่เบื้องหลังในการคัดค้านบรรษัทฯ คือกลุ่มบริษัท ปตท. ใช่หรือไม่? เพราะมีเหตุการณ์ที่สอดรับกันบางอย่าง

ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ กลุ่มบริษัท ปตท.นำโดยนายปิยสวัสดิ์ ได้พาคอลัมนิสต์อาวุโสกว่าสิบคนเดินทางไปสหรัฐฯ และเม็กซิโก หลังจากกลับมาไทยก็มีคอลัมนิสต์หลายรายที่เขียนบทความคัดค้านบรรษัทฯ โดยอ้างตัวอย่างบรรษัทฯ Pemex ของเม็กซิโก

ต่อมา ม.ร.ว.ปรีดิยาธรแถลงข่าว โดยระบุชื่อบุคคลที่คัดค้านบรรษัทฯ ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นคนที่มีผลประโยชน์กับกลุ่มบริษัท ปตท. ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ผมขอเสนอให้แยกเรื่องขั้นตอนการยกร่างมาตรา 10/1 ออกจากเรื่องบรรษัทฯ เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ

เรื่องขั้นตอนการยกร่างมาตรา 10/1 นั้น ถึงแม้จะไม่เป็นไปตามความเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของกระทรวงพลังงาน แต่เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักในเรื่องการบริหารจัดการปิโตรเลียมของชาติ สนช.จึงควรมีการหยิบยกขึ้นพิจารณาอยู่แล้ว จึงไม่ควรไปเสียเวลาถกเถียงกันว่า การที่คณะกรรมาธิการฯ ใส่มาตรา 10/1 เป็นวิธีการปกติหรือไม่

เพราะนอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อนายทหาร 6 คนนั้นแล้ว ยังเป็นการสร้างหมอกควัน พาให้ประชาขนหลงประเด็นอีกด้วย

เราจึงควรเน้นพิจารณาว่า บรรษัทฯ เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ประเทศชาติและประชาชนกันแน่?

เบื้องลึกและเหตุผลที่แท้จริงที่มีการยื้อเรื่องบรรษัทฯ นั้น คือเรื่องผลประโยชน์ระดับหลายแสนล้านบาทแต่ละปี คือผลประโยชน์จากการผูกขาดรับซื้อก๊าซธรรมชาติ

ผลประโยชน์นี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลไทยมีสิทธิกำหนดกติกาให้ผู้ที่ผลิตก๊าซในไทยต้องขายก๊าซให้แก่รัฐ ในราคาต่ำกว่าตลาด

และเนื่องจากในแต่ละปี ประเทศไทยผลิตก๊าซมูลค่า 4-5 แสนล้านบาท ผู้ใดที่ใช้สิทธินี้ ย่อมทำกำไรได้มากมายทุกปี

ถ้าเมื่อใดมีบรรษัทฯ สิทธิดังกล่าวย่อมต้องตกเป็นของบรรษัทฯ และกำไรที่มากมายนี้ ก็จะเป็นของประชาชน 100%

แต่ถ้าไม่มีบรรษัทฯ ถามว่าใครเป็นผู้ที่ได้กำไรก้อนใหญ่นี้? ใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์จากการมีบรรษัทฯ ? ต้องหาคำตอบในคำถามต่อไปนี้ก่อน

1) เดิมผู้ที่ถือสิทธินี้คือกระทรวงอุตสาหกรรม ใช่หรือไม่?

2) กระทรวงอุตสาหกรรมมอบให้การปิโตรเลียมฯ เป็นผู้ใช้สิทธินี้ ใช่หรือไม่?

3) รัฐได้สิทธินี้โดยอำนาจมหาชนของรัฐ ใช่หรือไม่?

4) ในการแปรรูปการปิโตรเลียมฯ มิได้มีการแยกสิทธินี้โอนให้กระทรวงการคลัง ใช่หรือไม่?

5) ขณะนี้ กลุ่มบริษัท ปตท.เป็นผู้ใช้สิทธินี้ผูกขาดการซื้อก๊าซจากปากหลุมแต่ผู้เดียว ใช่หรือไม่?

6) ถ้าหากกลุ่มบริษัท ปตท.ไม่สามารถใช้สิทธินี้ จะทำให้กำไรลดลงเท่าใด?

เมื่อได้คำตอบแล้ว จึงจะสามารถวิเคราะห์ได้ชัดเจนว่า การมีบรรษัทฯ จะทำให้ประโยชน์และกำไรกลับมาเป็นของประชาชนมากขึ้น หรือไม่ เท่าใด

ถามว่า กรณีถ้าหากกลุ่มบริษัท ปตท.เป็นผู้ใช้สิทธินี้อยู่ และเนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจ และรัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ถือว่าเหมาะสมหรือไม่

ตอบว่าไม่เหมาะสม เพราะกลุ่มบริษัท ปตท.มีเอกชนร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย ทั้งคนไทยและต่างชาติ

การที่รัฐจะยกประโยชน์ซึ่งเป็นของคนไทยทั้งมวล ให้ตกไปเป็นประโยชน์แก่คนกลุ่มเล็กที่เป็นผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นต่างชาติซึ่งไม่ได้เสียภาษีให้แก่ประะทศไทยนั้น จะเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

ยังมีประเด็นผลประโยชน์อื่นที่ผมจะกล่าวถึงต่อไป และผมจะชี้ด้วยว่า การสร้างกระแสให้หวาดกลัวบรรษัทฯต่างๆ นานานั้น จุดอ่อนและข้อกังวลแต่ละประเด็น สามารถมีวิธีแก้ไขป้องกันได้

นอกเหนือจากการผูกขาดรับซื้อก๊าซแต่ผู้เดียวจากเอกชนทุกรายที่ได้รับสัมปทานแล้ว ยังมีประเด็นการผูกขาดในการรับซื้อก๊าซในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียอีกด้วย

สำหรับก๊าซที่ผลิตในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย กรณีที่ประเทศมาเลเซียไม่ต้องการใช้ ก็จะขายให้แก่ไทย

ปัญหาคือ ใครควรจะเป็นผู้ใช้สิทธิในการรับซื้อก๊าซส่วนนี้ ระหว่างบรรษัทฯ กับบริษัทเอกชน จึงต้องตั้งคำถามอีกว่า

1) รัฐบาลได้มอบสิทธิในการรับซื้อก๊าซที่ผลิตในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ไปให้แก่กลุ่มบริษัท ปตท.ใช่หรือไม่?

2) การได้สิทธิดังกล่าว ไม่มีการเปิดประมูลแข่งขันกับกลุ่มบริษัท ปตท.ใช่หรือไม่?

3) สิทธิในการซื้อก๊าซดังกล่าว ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ ใช่หรือไม่?

ดังนั้น คำถามว่าควรมีการตั้งบรรษัทฯ หรือไม่นั้น ในเบื้องลึกจึงเป็นการยื้อผลประโยชน์ ระหว่างฝ่ายหนึ่งคือประชาชนทั้งประเทศ (ผ่านกลไกบรรษัทฯ) กับอีกฝ่ายหนึ่งคือบริษัทที่แฝงตัวใช้สิทธินี้ (ซึ่งมีคำถามว่า เป็นกลุ่มบริษัท ปตท.ใช่หรือไม่)

กรณีถ้าเป็นกลุ่มบริษัท ปตท.ก็จะเกิดคำถามต่อไปทันทีว่า เป็นการเอาสิทธิที่เกิดจากอำนาจมหาชนของรัฐ ไปประเคนให้แก่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ สืบเนื่องจากการจองซื้อหุ้น ปตท.ในการแปรรูปเมื่อปี 2544 หรือไม่?

ก) ผู้บริหารและพนักงานกลุ่มบริษัท ปตท.

ข) ผู้มีอุปการคุณ ซึ่งเป็นพรรคพวกของกลุ่มบริษัท ปตท.

ค) นักการเมืองและสมาชิกสภาซึ่งได้รับจัดสรรสิทธิจองหุ้นผ่านโบรกเกอร์

ง) คนไทยที่มีบริษัทในเกาะฟอกเงิน ที่อ้อมหลังมาจองหุ้นในโควตาต่างชาติ

จ) นอมินีนักการเมืองที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผู้ถือหุ้นต่างชาติ

คำถามเหล่านี้ สมาชิก สนช.ควรคำนึงในการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ครับ”

ต่อมา นายธีระชัยได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า ในนาทีนี้ นายกรัฐมนตรีและสมาชิก สนช. ต้องเลือกแล้วครับระหว่างให้ประโยชน์แก่ประชาชนทั้งมวล โดยตั้งบรรษัทฯ หรือจะประเคนให้แก่คนกลุ่มเล็ก ที่เป็น ผู้ถือหุ้น ผู้มีอุปการคุณ ต่างชาติ และนอมินีนักการเมืองไทย โดยไม่ตั้งบรรษัทฯ

ที่จริงในฐานะนายกและสมาชิกสภา ที่มาจากสถานการณ์พิเศษ ปกติจะต้องตัดสินใจไม่ยากอยู่แล้ว ปกติจะต้องฟันธงเข้าข้างประชาชนอยู่แล้ว

แต่คราวนี้ เนื่องจากฝ่ายคัดค้านบรรษัทฯ เดินหมากอย่างแยบยล พาคอลัมนิสต์อาวุโสเหินฟ้าไปอเมริกา หัวละสี่แสน แล้วพากันเขียนถล่มบรรษัทฯ Pemex ของเม็กซิโกแบบไม่มีชิ้นดี

และล่าสุด ก็ให้แม่ทัพใหญ่ไสช้างออกจากใต้ร่มไม้ มาฉายหนังผีหลอกหลอน พุ่งเป้าไปที่หกทหารเสือ เป็นการสร้างหมอกควันแบบเดียวกับนักมายากล เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกจากประเด็นที่แท้จริง
คือคำถามที่ว่า บรรษัทฯ จะเลวร้ายอย่างที่กลัว จริงๆเช่นนั้นเชียวหรือ

ผมขอแนะนำให้ท่านนายกและสมาชิก สนช. พิจารณาเชิงวิชาการ เพื่อตัดเอาประเด็นทางอารมณ์ออกไป ไม่ว่าความกลัว หรือความเกลียด

ประการที่หนึ่ง บรรษัทฯจะรวมศูนย์กรรมสิทธิ์พลังงาน หรือไม่
ตอบว่าไม่จำเป็น

การออบแบบไม่ให้รวมศูนย์กรรมสิทธิ์พลังงานนั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแต่กำหนดว่า หน้าที่ในการนำพื้นที่ออกให้เอกชนหาประโยชน์ ยังให้คงเป็นของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเช่นเดิม ไม่ต้องโยกมาเป็นบทบาทหน้าที่ของบรรษัทฯ

นอกจากนี้ ในอนาคต เมื่อสามารถมีการบัญญัติ ให้การคัดเลือกในระบบแบ่งปันผลผลิต และในระบบจ้างผลิตบริการ จะต้องประมูลโปร่งใส

วิธีนี้ ถึงแม้ในอนาคต จะเกิดมีการรวมศูนย์กรรมสิทธิ์พลังงาน ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่นักการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง เพราะบรรษัทฯจะไม่สามารถให้ประโยชน์แก่เอกชนรายใดโดยลำเอียง

ประการที่สอง บรรษัทฯจะผูกขาด หรือไม่
ตอบว่าไม่จำเป็น ถ้าไม่ต้องการให้ผูกขาด ก็สามารถกำหนดห้ามมิให้บรรษัทฯเป็นผู้สำรวจและผลิตด้วยตนเอง

วิธีนี้ บทบาทเอกชนจะยังมีอยู่เช่นเดิม และตรงกับแนวคิดของ คปพ. อยู่แล้ว

ประการที่สาม นักการเมืองจะเข้าไปแทรกแซงบรรษัทฯ หรือไม่

ตอบว่าต้องกำหนดให้บรรษัทฯ ในการซื้อและการขาย จะต้องใช้วิธีประมูลโปร่งใสเท่านั้น ซึ่งจะทำให้นักการเมืองไม่สนใจที่จะแทรกแซง เพราะเพราะจะไม่สามารถลำเอียงให้ประโยชน์แก่ผู้ซื้อผู้ขายรายใดเป็นพิเศษ

ประการที่สี่ การตั้งบรรษัทฯจะเป็นการย้อนกลับไป Thailand 0.0 หรือไม่
ตอบว่า ถ้ากำหนดให้บรรษัทฯเป็นผู้รวบอำนาจ โดยทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ก็จะเป็นการย้อนกลับไป Thailand 0.0

แต่ถ้ากำหนดให้บรรษัทฯมีบทบาทเพียงแบบแคบ ให้ทำหน้าที่เฉพาะซื้อและขายปิโตรเลียม
และเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของรัฐ เพียงเท่านี้ โดยไม่สำรวจและผลิตเอง และไม่ขายปลีกและแข่งขันโดยตรงกับเอกชน

จะเป็นการเดินหน้าสู่ Thailand 4.0 แต่จะเป็นการเดินหน้าพร้อมกับการปฏิรูปพลังงาน ที่จะเลิกอำนาจผูกขาดของเอกชนบางบริษัท และจะทำให้ประโยชน์กลับมาเป็นของประชาชนชาวไทยทั้งมวลทันที
เมื่อเข้าใจหลักทางวิชาการชัดแจ้งแล้ว ผู้ที่จะยังหวาดเกรงบรรษัทฯ ก็จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่อาศัยประโยชน์และน้ำเลี้ยงจากบริษัทเอกชนอยู่เท่านั้น

ไม่ว่าคอลัมนิสต์ที่ชอบเที่ยว สื่อที่หากินกับงบโฆษณา ขุนนางพลังงาน และบุคคลที่หวังท่อน้ำเลี้ยงเพื่อเป็นทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น