อดีต ส.ส.กทม.แฉ ป.ป.ช.ทำคดีโกงรถ-เรือดับเพลิง กทม.โคตรอืด ส่งผลให้ 4 ขรก.หลุดคดีอาญา กม.ฮั้ว เหตุขาดอายุความ จี้ “อัศวิน” เอาผิดวินัย พร้อมถามหาความรับผิดฐานดันทุรังตั้ง “พ.ต.อ.พิชัย” นั่งรองปลัดทั้งที่มีมลทิน
วันนี้ (19 มี.ค.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจงกรณีดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อรถดับเพลิง และเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กทม. ที่มีข้าราชการของ กทม.เข้าไปเกี่ยวข้องล่าช้าจนทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีอาญากรณีกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว ตามมาตรา 7 และมาตรา 16 ได้ เนื่องจากขาดอายุความ ทำให้นายสุวิทย์ ศิลาทอง น.ส.สุทิพย์ ทิพย์สุวรรณ์ พ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนศิริ และ พ.ต.ท.รักศิลป์ รัตนวราหะ พ้นความผิดในกรณีนี้ แม้ว่าจะมีการส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการ กทม.ดำเนินการพิจารณาโทษทางวินัยต่อบุคคลกลุ่มนี้ แต่ความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วกลับขาดอายุความจนไม่สามารถดำเนินคดีได้ โดยสามารถดำเนินคดีอาญาได้เพียงความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เท่านั้น
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าคดีนี้ในส่วนของสำนวนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาไปแล้ว แต่ทำไมการไต่สวนข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อกลับเป็นไปด้วยความล่าช้าจนทำให้ความผิดต่อกฎหมายฮั้วขาดอายุความไป ใครจะรับผิดชอบ และการทำงานที่ล่าช้าของ ป.ป.ช.เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การปราบปรามการทุจริตไร้ประสิทธิภาพ”
นายวิลาศยังได้ตั้งคำถามไปถึง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง พ.ต.อ.พิชัยเป็นรองปลัด กทม.ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร หลังจากที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลแล้วว่ามีความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ กทม. พ.ศ. 2528 มาตรา 8 โดยก่อนหน้านี้ก็มีผู้ท้วงติงแล้วว่าไม่ควรตั้ง พ.ต.อ.พิชัยเนื่องจากมีคดีที่ค้างการพิจารณาอยู่ใน ป.ป.ช. แต่ พล.ต.อ.อัศวินก็ไม่รับฟังคำท้วงดังกล่าวอ้างว่าศาลยังไม่ได้ตัดสิน มาตรฐานเช่นนี้จะสอดคล้องกับนโยบายที่ต้องการสกัดกั้นคนทุจริตไม่ให้เข้ามามีอำนาจอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือลงวันที่ 28 ก.พ. 2560 ที่ ปช 0015/487 ถึงผู้ว่าฯ กทม.ขอให้พิจารณาโทษทางวินัยต่อนายสุวิทย์ น.ส.สุทิพย์ พ.ต.อ.พิชัย และ พ.ต.ท.รักศิลป์ เนื่องจากในขณะที่เป็นกรรมการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงมีการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ มีมูลฐานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติ ครม. หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอื่นใด และได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 8
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิดอาญากับบุคคลที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 โดยส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีที่บุคคลทั้ง 4 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 และมาตรา 70 แล้วแต่กรณีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ไม่สามารถดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลทั้ง4 ในฐานความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 ได้เนื่องจากขาดอายุความไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนการดำเนินการพิจารณาลงโทษทางวินัยตามมาตรา 3 ของกฎหมาย ป.ป.ช.ระบุไว้ว่า เมื่อได้รับรายงานจาก ป.ป.ช.แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน พิจารณาลงโทษภายใน 30 วันนับแต่รับเรื่อง ซึ่งกรณีนี้ กทม.มีการประทับตรารับหนังสือของ ป.ป.ช.ในวันที่ 14 มี.ค. เวลา 13.35 น. จึงถือว่าจะสิ้นสุดเวลา 30 วันตามที่กฎหมายบัญญัติไว้คือ 14 เม.ย. ทั้งนี้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนจะต้องส่งสำเนาคำสั่งลงโทษไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง