xs
xsm
sm
md
lg

“วิษณุ” แจงเก็บภาษีนักการเมืองยุค “ปู-มาร์ค” มาตราฐานเดียวหุ้นชินฯ ไม่กระทบปรองดอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)
รองนายกฯ รับทราบ สตง.บี้เก็บภาษี 60 นักการเมืองยุค “ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์” โยนสรรพากรดูข้อกฎหมาย เล็งเรียกเก็บภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปสองช่วง ยันมาตรฐานเดียวกัน ไม่กระทบการสร้างความปรองดอง แย้มมีวิธีตรวจสอบผู้ที่ถือทรัพย์สินแทน “ทักษิณ” แต่ยังอุบไต๋ รับเห็นใจ “โอ๊ค”

วันนี้ (17 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสำนักงานการตรวจแผ่นดิน (สตง.) เสนอกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี 60 นักการเมืองในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเมื่อวันที่มีการประชุมร่วมเรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สตง.ได้มีการแจ้งว่าจะดำเนินการในทุกเรื่องที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ตนจึงรับทราบและพอใจว่าถ้าจะดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับกรณีดำเนินการเรื่องภาษีชินคอร์ป แต่ไม่ทราบว่ามีกี่คดี เป็นไปตามจำนวนที่ สตง.ระบุไว้หรือไม่ ส่วนบรรทัดฐานว่าใครถูกหรือผิด ใครแพ้ชนะ ไว้รอคำวินิจฉัยจากศาล อย่างไรก็ตาม นอกจากกระบวนการที่ สตง.จะดำเนินการได้แล้วยังมีหน่วยงานอื่นที่สามารถดำเนินการควบคู่ไปได้ด้วย แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการเก็บภาษีของรัฐบาลอาจมีผลกระทบต่อการเดินหน้าสร้างความปรองดองของรัฐบาล นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงนำสิ่งนี้มาเป็นเรื่องต่อรองไม่ได้ ถ้าจะดำเนินการไม่ได้คือดำเนินการไม่ได้ แต่ถ้าผิดแล้วดำเนินการได้แล้วยังเอามาต่อรองมันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องปรองดอง เนื่องจากการปรองดองผู้เกี่ยวข้องอธิบายแล้วว่าอยู่บนหลักการไม่อภัยโทษหรือนิรโทษกรรม

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดรัฐบาลถึงทำเรื่องดังกล่าวในช่วงเวลานี้ นายวิษณุกล่าวว่า เรารู้เรื่องนี้มีอยู่ 2 ทาง คือ ถ้าปล่อยให้กระบวนการเดินไปรัฐบาลจะถูกมองว่าเพิกเฉยเตรียมจะปล่อยให้หมดอายุความ ช่วยเหลือกัน อาจถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่พอรัฐบาลดำเนินการก็จะบอกว่ารัฐบาลไล่บี้จี้อยู่คนเดียว เป็นการกลั่นแกล้ง เราจึงไม่หลวมตัวออกมาตรา 44 แต่ให้ดำเนินการตามกฎหมายปกติ

นายวิษณุกล่าวว่า นายกฯ เคยให้ข้อสังเกตเรื่องการดำเนินการดังกล่าวว่าให้ดูว่าการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปดำเนินการถูกต้องหรือไม่ เราตั้งต้นตามข้อสังเกตของนายกฯ มาตั้งแต่ต้น แล้วได้คำตอบจากคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วว่าไม่สุจริต จึงเป็นที่มาของการยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้น เมื่อตั้งต้นว่าไม่สุจริต จึงต้องเสียภาษี เป็นคนละเรื่องกับการยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ต้องแยกส่วนกันระหว่างการกระทำความผิดกับการเสียภาษี จึงต้องดำเนินการ ไม่อย่างนั้นจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่า หากศาลพิพากษาให้นายทักษิณจ่ายภาษีจะไม่สามารถเรียกเก็บกับคนในครอบครัวได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องของใครของมัน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการยักย้ายถ่ายเท ทำนิติกรรมอำพรางก่อนถูกฟ้อง หรือพิสูจน์ว่าทรัพย์สินที่อยู่กับคนอื่นมันไม่ใช่ของคนอื่น เหมือนคดีล้มละลายที่คนคนนั้นไม่มีทรัพย์จะใช้หนี้ แต่ความจริงลูกและภรรยามี ถึงจะเป็นคนละส่วนกัน แต่หากพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินส่วนดังกล่าวเป็นของบุคคลล้มละลายที่ยักย้ายถ่ายเทจำหน่ายถ่ายโอนก่อนมีการถูกฟ้องล้มละลายภายใน 1 ปีหรือภายหลังจากนั้น เมื่อพิสูจน์ได้ต้องเอาทรัพย์สินส่วนนั้นกลับมาได้

ต่อข้อถามว่า หากทรัพย์สินของนายทักษิณอยู่ในต่างประเทศทั้งหมดจะดำเนินการอย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า อาจจะยาก ดังนั้น จึงมีการพูดกันไม่นานมานี้เมื่อครั้งธนาคารโลกมาพบตน โดยหารือกันในเรื่องอื่น แต่มีการแนะนำประเทศไทยว่าควรดำเนินการแก้ไขกฎหมายล้มละลายให้มีการบังคับคดีกรณีมีทรัพย์สินในต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตรวจสอบผู้ที่ถือทรัพย์สินแทนนายทักษิณมีวิธีการอยู่ แต่ยังไม่ขอเปิดเผย

รองนายกฯ กล่าวว่า นายทักษิณสามารถอุทธรณ์การประเมินภาษีได้ภายใน 30 วัน จากนั้นหากศาลตัดสินแล้วยังไม่พอใจ ยังสามารถอุทธรณ์ในชั้นฎีกาได้อีก โดยแม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศ สามารถให้ตัวแทนมายื่นอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับภาษีที่จะดำเนินการเรียกเก็บมาจากส่วนที่ได้จากการยึดทรัพย์ไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท หรือจากธุรกรรมที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์คือ ภาษีที่ควรจะเสียถ้าต้องเสีย ถ้าคำตอบคือ ไม่ต้องเสียก็ไม่ต้องไปพูดอะไรอย่างอื่นแล้ว แต่ถามว่าควรหรือไม่ควรจะเสีย ก็แล้วแต่ว่าศาลจะว่าอย่างไร ในเมื่อ สตง.บอกว่าควร ตามข้อ 2 (23) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 26 ออกตามความในประมวลรัษฎากร เขาบอกไว้ว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่ตรงนี้เองที่พบว่ามีช่องทางที่จะเรียกได้

“เรื่องดังกล่าวให้สรรพากรไปพิจารณา เผื่อจะสามารถเรียกเก็บภาษีได้ทั้ง 2 ช่วงคือ ตอนที่แอมเพิล ริช ขายหุ้นให้แก่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา หุ้นละ 1 บาท กับช่วงที่ 2 คือ ตอนที่นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาขายหุ้นให้แก่เทมาเส็ก” นายวิษณุกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีนายพานทองแท้ออกมาตัดพ้อว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไรกับครอบครัวตนเองอีก รองนายกฯ กล่าวว่า ก็เห็นใจ อกเขาอกเรา ลองคิดถึงเราเป็นเขาดู
กำลังโหลดความคิดเห็น