อดีต คตส.เปิดปมใหม่ แนะรัฐบาลเร่งเก็บภาษี “โอ๊ค-เอม” ฐานนั่ง กก.บริษัท แอมเพิลริช มีหนี้ภาษี 2.2 หมื่นล้าน ตามมติ คตส.ที่เคยส่งให้กรมสรรพากร ก่อนคดีหมดอายุความ มิ.ย. 60 แนะเพิกถอนคำวินิจฉัยกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร อ้างเป็นบริษัทต่างชาติไม่ต้องเสียภาษีในไทยก่อนเรียกเก็บภาษีคืนหลวง
วันนี้ (16 มี.ค.) นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยถึงการตรวจสอบภาษีหุ้นชินคอร์ปอันเป็นที่มาของการเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ เป็นเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท ว่าเกิดจาก คตส.พบว่ามีการขายหุ้น 329.2 ล้านหุ้น ที่ถือไว้ในนามบริษัท แอมเพิลริช ให้แก่กลุ่มทุนเทมาเส็กช่วงมกราคมปี 2549 มีการทำเป็นการขายทางอ้อม คือ ให้แอมเพิลริชขายให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาก่อนในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วจึงให้บุคคลทั้งสองขายต่อให้เทมาเส็กอีกครั้งในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท แล้วไม่ยอมเสียภาษี คตส.จึงเสนอให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีบุคคลทั้งสองคนละ 5.6 พันล้านบาท ในขณะนี้ก็ได้ข้อสรุปว่ากรมสรรพากรจะดำเนินการเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ในฐานะที่เป็นตัวแทนทักษิณแล้ว
“แต่มีอีกกรณีหนึ่งซึ่งอายุความจะหมดในเดือนมิถุนายน 2560 คือ คดีที่ คตส.ให้กรมสรรพากรเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ในฐานะที่เป็นกรรมการบริษัท แอมเพิลริช จำนวนกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท โดยครอบคลุมเงินได้ทั้งเงินปันผลที่ได้รับทุกปี เงินได้จากการขายหุ้นช่วงเดือนมกราคม 2549 ภาระปลอดหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ ตลอดจนการจำหน่ายกำไรไปยังต่างประเทศ ซึ่งทางคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรไปตีความว่า บริษัท แอมเพิลริชไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นนิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย ทั้งๆ ที่บริษัท แอมเพิลริช เป็นนิติบุคคลต่างประเทศที่มีกรรมการอยู่ในไทยและมีเงินได้อยู่ในไทย ทรัพย์สินอยู่ในไทย เก็บภาษีได้ทั้งนั้น ดังนั้น หากรัฐบาลจะเอาจริงเอาจังต่อเรื่องนี้ต้องให้กระทรวงการคลังควรไปรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาและเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวก่อน จากนั้นก็ดำเนินการออกหมายเรียกเก็บภาษีกับนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา รวมถึงนายทักษิณด้วย แม้ว่าจะมีการขายบริษัท แอมเพิลริชไปแล้ว แต่กรรมการบริษัทฯ ในขณะที่เกิดเหตุหนีภาษี คือ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ยังต้องรับผิดแทนบริษัทในหนี้ภาษี 2.2 หมื่นล้านบาทนี้” นายแก้วสรรกล่าว
สำหรับผลการตรวจสอบภาระภาษีของบริษัท แอมเพิลริช ที่ คตส.ตรวจพบ ประกอบด้วย 1. การประกอบการของบริษัท แอมเพิลริช เป็นการประกอบการของบริษัทต่างประเทศที่เข้าหลักเกณฑ์เป็นการประกอบการในประเทศไทย ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเต็มอัตราตามกฎหมายไทย 2. จากปี 2542-2547 มีเงินได้ต้องนำมาคำนวณเป็นภาษี ดังนี้ เงินค่าปันผลหุ้นชินคอร์ป 2546-2548 จำนวน 1.77 พันล้านบาท เงินรายได้จากการขายหุ้นปี 2549 จำนวน 1.62 หมื่นล้านบาท เงินได้เนื่องจากเจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ 340 ล้านบาท โดยเงินได้ทั้งหมดนี้บริษัทไม่เคยยื่นชำระภาษีเลย ต้องเสียทั้งภาษีจริงและเบี้ยปรับสองเท่า รวมเป็นเนื้อภาษีทั้งสิ้น 2.2 หมื่นล้านบาท