xs
xsm
sm
md
lg

“กฤษฎีกา” ชี้รายได้พิเศษ “กองทุนมวย-กีฬาอาชีพ” ที่ยุบตามคำสั่ง หน.คสช.ต้องตกเป็นของแผ่นดิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เปิดรายได้ล่าสุด “กองทุนมวย - กองทุนกีฬาอาชีพ” รวมกว่า 500 ล้านบาท พบ “กองทุนกีฬามวย” มีกว่า 101 ล้านบาท ส่วน กองทุนกีฬาอาชีพ ได้รับจัดสรรปีละ 300 ล้าน ก่อนถูกคำสั่ง หน.คสช. ยุบรวมเข้ากับ “กองทุนกีฬาแห่งชาติ” ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เผย “กฤษฎีกา” ชี้ช่อง กกท. รายได้พิเศษ 2 กองทุนเดิม ทั้ง “เงิน ทรัพย์สิน และดอกผล” ที่กองทุนได้เดิม ที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ให้ตกเป็นของ “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” ทั้งหมด

วันนี้ (12 มี.ค.) มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2560 เรื่องเสร็จที่ 222/2560 เรื่อง การส่งรายได้ของกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวย ภายหลังการควบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” ทั้งนี้ ในความเห็น ระบุว่า การกีฬาแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือ ที่ กก 5110/13322 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2559 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 เห็นชอบให้ควบรวมกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558

และต่อมาได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2558 เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปฏิรูปการกีฬาของประเทศ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 กำหนดให้ควบรวมกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

กฎหมายประกอบกองทุนมวย-กีฬาอาชีพ ก่อนยุบร่วมกองทุนกีฬาแห่งชาติ

1. ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (7) ของมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 “(7) ส่งเสริมและสนับสนุนกีฬามวยตามกฎหมายว่าด้วยกีฬามวย และกีฬาอาชีพตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมกีฬาอาชีพ”

2. ให้ยกเลิกหมวด 4 กองทุนกีฬามวย มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 และให้โอนบรรดาทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างของกองทุนกีฬามวยตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542ไปเป็นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ทั้งนี้ ให้สิทธิและหน้าที่ของพนักงานหรือลูกจ้างยังคงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง

3.. ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “กองทุน” ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““กองทุน” หมายความว่า กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการกีฬาแห่งประเทศไทย”

4. ให้ยกเลิกหมวด 5 กองทุน มาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 45 มาตรา 46 มาตรา 47 มาตรา 48 มาตรา 49 มาตรา 50 และมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 และให้โอนบรรดาทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างของกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 ไปเป็นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ทั้งนี้ ให้สิทธิและหน้าที่ของพนักงานหรือลูกจ้างยังคงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง

5. ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการกีฬามวยตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 ในส่วนที่เกี่ยวกับกองทุนกีฬามวย และของคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 กำหนด

กกท.ทำหนังสือถามกฤษฎีกา รายได้พิเศษกองทุนมวย-กีฬาอาชีพ ต้องตกเป็นของรัฐหรือไม่

ในการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านสวัสดิการกีฬาและปรับปรุงแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 15/2559 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 และในการประชุม ครั้งที่ 16/2559 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2559 มีมติมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยมีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องรายได้ที่กีฬาอาชีพและกีฬามวยได้รับนอกเหนือจากงบประมาณว่าจะเข้ากองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ หรือเข้าการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกีฬามวยและกีฬาอาชีพเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการ การกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับรายได้ที่กีฬาอาชีพและกีฬามวยได้รับนอกเหนือจากงบประมาณว่าจะเข้ากองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติหรือเข้าการกีฬาแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อหารือของการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยมีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงบประมาณ) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สำนักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทนการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า กองทุนกีฬามวยมีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดตั้งสนามมวย ค่าธรรมเนียมการจัดการแข่งขันกีฬามวยเป็นกรณีเฉพาะคราว

ซึ่งมาตรา 52 (4) แห่งพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 กำหนดให้ส่งเข้ากองทุนกีฬามวย แต่โดยที่มาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 มิได้บัญญัติให้เงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมและค่าปรับตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 เป็นรายได้ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติไว้ด้วย จึงมีปัญหาว่าเงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะสามารถโอนมายังกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติได้หรือไม่ สำหรับกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพนั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 ได้มีผลบังคับใช้เป็นเวลาไม่นาน ในขณะนี้จึงยังไม่มีรายได้อื่นนอกเหนือจากเงินงบประมาณ

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่ได้มีการควบรวม “กองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวย” เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” ตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 แล้ว ในส่วนของการบริหารจัดการในการส่งเสริมและช่วยเหลือสวัสดิการตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 นั้น คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติได้อนุมัติโครงการตามปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อสนับสนุนกีฬามวยและกีฬาอาชีพแล้ว

คำสั่ง หน.คสช.ลดความซ้ำซ้อนงบประมาณกีฬา ให้เกิดความเป็นเอกภาพ ไม่ซ้ำซ้อน

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามข้อหารือและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้ว เห็นว่า มาตรา 36[1] แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ได้บัญญัติให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” ในการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเพื่อการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา คุ้มครอง ช่วยเหลือ และจัดสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา

และโดยที่ปัจจุบันได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2559 เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปฏิรูปการกีฬาของประเทศ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ซึ่งกำหนดให้ควบรวมกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 เพื่อลดภาระและความซ้ำซ้อนในด้านการงบประมาณ และบูรณาการการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านกีฬาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความเป็นเอกภาพและมีความต่อเนื่อง โดยข้อ 1[2] แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2559 ได้กำหนดเพิ่มเติมให้สามารถนำเงินของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติไปใช้จ่ายในกิจการที่เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกีฬามวยตามกฎหมายว่าด้วยกีฬามวยและกีฬาอาชีพตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมกีฬาอาชีพ

รายได้กองทุนกีฬาอาชีพและกีฬามวย ถือเป็นรายได้พัฒนากีฬาชาติ

นอกจากนี้ ข้อ 2[3] และข้อ 3 (6)[4] แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ยังได้กำหนดให้ยกเลิกกองทุนกีฬามวยตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 และกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพตามพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2556 รวมทั้งกำหนดให้โอนบรรดาทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างของทั้งสองกองทุนดังกล่าวไปเป็นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ด้วย

ดังนั้น บรรดารายได้ของกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและรายได้ของกองทุนกีฬามวยที่เกิดขึ้นตามมาตรา 41[5] แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ.2556 และมาตรา 52[6] แห่งพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 ซึ่งถูกยกเลิกโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2559 เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปฏิรูปการกีฬาของประเทศ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ซึ่งเดิมเป็นรายได้ที่ต้องส่งเข้ากองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพและกองทุนกีฬามวยนั้น จึงเป็นรายได้อื่นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามมาตรา 36 (8)[7] แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 โดยผลของข้อ 2[8] และข้อ 3(6)[9] แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44[10] ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

(นายดิสทัต โหตระกิตย์) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กุมภาพันธ์ 2560

ยุบกองทุนมวย “เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้” เข้ากองทุนกีฬาชาติ

มีรายงานว่า คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ให้แก้กฎหมาย ยุบรวมเงินกองทุนกีฬามวย และกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ เข้าเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือนนั้น ล่าสุดเพื่อให้งบประมาณในส่วนของกองทุนกีฬามวย และกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ ที่ไม่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ใช้จ่ายได้ และเกิดความคล่องตัวทั้งงานกีฬาเป็นเลิศ กีฬาอาชีพ และกีฬามวย

จากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทยระบุว่า 'กองทุนกีฬามวย' จัดตั้งตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 หมวด 4 มาตรา 52 ซึ่งระบุไว้ว่า "มาตรา 52 ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า “กองทุนกีฬามวย” ในการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม คุ้มครอง และควบคุมการกีฬามวย" โดยกองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินดังต่อไปนี้ 1. เงินอุดหนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย 2. เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ 3. ดอกผลและผลประโยชน์ที่เกิดจากกองทุน 4. เงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมและค่าปรับตามพระราชบัญญัตินี้ 5. รายได้ที่เกิดจากการดำเนินการกองทุน และ 6. เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้

โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้ โดยจัดให้มีระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการทุกปีให้การกีฬาแห่งประเทศไทยจัดทำงบดุลและบัญชีทำการของกองทุน ส่งผู้สอบบัญชี ตรวจสอบภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นผู้ตรวจสอบของกองทุนแล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอคณะกรรมการเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ต่อไป และให้คณะกรรมการเป็นผู้จัดการกองทุนการบริหาร การจัดหาประโยชน์ และการใช้จ่ายเงินกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

สำหรับหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาให้สวัสดิการนั้น การใช้จ่ายกองทุนเพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อใช้จ่ายสำหรับการส่งเสริม สนับสนุน อนุรักษ์ และเผยแพร่กีฬามวยทั้งในและนอกประเทศ 2. เพื่อจัดสวัสดิการรวมทั้งความช่วยเหลือแก่ นักมวย ผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน หัวหน้าค่ายมวยที่เป็นบุคคลธรรมดา และบุคคลในวงการกีฬามวยอื่นๆ ในกรณีประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วยจากการแข่งขันกีฬามวย หรือกรณีอันควรแก่การสงเคราะห์อื่น 3. เพื่อกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬามวยตามที่คณะกรรมการมอบหมายและ 4. เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับค่าใช้จ่ายการบริหารงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม คุ้มครองและควบคุมกีฬามวย ตามบทบัญญัติของกฎหมาย


101 ล้านบาท รายได้กองทุนกีฬามวยล่าสุด ก่อนถูกยุบรวมเข้ารัฐ

มีรายงานว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่สั่งยุบรวม 2 กองทุน นั้น ทำให้ “อดีตนักมวย” ที่ประสงค์จะขอรับสวัสดิการจากกองทุนจะต้องติดต่อสอบถามขอรายละเอียดได้ที่ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย แทน สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งล่าสุดมีการรับทราบรายงานสถานการณ์เงินกองทุนกีฬามวย ณ วันที่ 31 มกราคม 2559 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 101,611,696.33 บาท โดยเป็นเงินทุนสำรอง จำนวน 28,630,056.84 บาท และเงินที่จัดสรรเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนกีฬามวย จำนวน 72,981,634.49 บาท

ขณะที่ระเบียบการให้ความช่วยเหลือสวัสดิการสงเคราะห์แก่บุคคลในวงการกีฬามวย ตามระเบียบ กกท. ล่าสุดพบว่า มีการตั้งงบประมาณการให้ความช่วยเหลือค่าจัดการศพ กรณีเสียชีวิตแก่ครอบครัวของนักมวยและอดีตนักมวย ไว้รายละ 15,000 บาทต่อคน ขณะทีระเบียบการสงเคราะห์เงินช่วยเหลือเพื่อการดำรงชีพเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูรายเดือนแก่อดีตนักมวย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 - เดือนมกราคม 2559 มีอดีตนักมวยได้รับความช่วยเหลือสวัสดิการสงเคราะห์ค่าอุปการะเลี้ยงดูรายเดือน จำนวน 197 คน รวมเป็นเงิน 800,000 บาทต่อเดือน

กองทุนมวย จะสิทธิประโยชน์จากกองทุนกีฬามวย นักมวย ผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน หัวหน้าค่ายมวยที่เป็นบุคคลธรรมดา และบุคคลในวงการกีฬามวยอื่นๆ สามารถขอรับสิทธิได้ตามกรณี ดังนี้ 1. ได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่วยจากการแข่งขันกีฬามวยโดยตรง 2. ประสบอุบัติเหตุอันเนื่องจากการแข่งขันกีฬามวย 3. เสียชีวิต และ 4. กรณีอันควรแก่การสงเคราะห์อื่น

“กองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ” เคยได้รับจัดสรรปีละ 300 ล้านบาท

สำหรับ “กองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ”ในอดีตมีกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เข้ามาช่วยเติมเต็มงบประมาณบางส่วนที่ขาดไปนอกเหนือจากการได้รับอุดหนุนต่อปี ซึ่ง 3 ปีหลังสุด (2557-2559) กีฬาอาชีพของไทย ได้รับจัดสรรงบฯ ปีละ 300 ล้านบาท ขณะที่ปี 2560 มีการตั้งของบประมาณอุดหนุน 250 ล้านบาท แต่ถูกคำสั่ง หน.คสช. ยุบรวมกองทุนก่อน

ล่าสุด ในปี 2560 กกท. ได้ประกาศรับรอง 13 ชนิดกีฬาเดิมยังคงถูกจัดกลุ่มรับงบประมาณสนับสนุนเพื่อพัฒนาไปสู่อาชีพ จำนวน 40 รายการ จำแนกเป็น ฟุตบอล 6 รายการ, กอล์ฟ 11 รายการ, เจ็ตสกี 2 รายการ, วอลเลย์บอล 4 รายการ, ตะกร้อ 2 รายการ, โบว์ลิ่ง 1 รายการ, แข่งรถจักรยานยนต์ 3 รายการ, จักรยาน 2 รายการ, แข่งรถยนต์ 4 รายการ, สนุ้กเกอร์ 1 รายการ, เทนนิส 2 รายการ และบาสเกตบอล 1 รายการ

เงิน ทรัพย์สิน ดอกผลที่กองทุนได้รับ ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

ทั้งนี้ “กองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ” ในการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือ การสงเคราะห์สวัสดิการ การส่งเสริม การสนับสนุน การพัฒนา และการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาอาชีพ นักกีฬาอาชีพ และบุคลากรกีฬาอาชีพ ประกอบด้วย

- เงินที่โอนมาตามมาตรา 70 (ให้โอนบรรดากิจการ เงิน และทรัพย์สิน ตลอดจนสิทธิ และหนี้ของกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพตามข้อบังคับการกีฬาแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารกองทุน การจัดหาผลประโยชน์และการจัดการกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. 2552 ไปเป็นของกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพตามพระราชบัญญัตินี้
- เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
- เงินอุดหนุนจากรัฐบาลหรือที่ได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น
- เงินค่าปรับทางปกครองตามพระราชบัญญัตินี้
- เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้
- เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินของกองทุน หรือได้จากการจัดหรือร่วมจัดหารายได้เข้ากองทุน หรือได้จากระบบสิทธิประโยชน์ที่การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมกีฬาอาชีพ
- เงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุน หรือที่กองทุนได้รับตามกฎหมาย, ดอกผลที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน รวมทั้งผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา และ รายได้อื่นๆ

สำหรับ เงิน ทรัพย์สิน และดอกผลที่กองทุนได้รับตามมาตรา 41 ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ส่วน เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้แก่กองทุน ให้จัดการตามเงื่อนไขที่ผู้บริจาคหรือผู้มอบให้ได้กำหนดไว้และจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าวกองทุนต้องได้รับความยินยอมจากผู้บริจาค หรือผู้มอบให้หรือทายาทหากไม่มีทายาทหรือทายาทไม่ปรากฏจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารกองทุน

สำหรับ เงินกองทุน ให้ใช้จ่ายเพื่อกิจการ ใดบ้าง มีดังนี้
1. ช่วยเหลือด้านสวัสดิการแก่นักกีฬาอาชีพ บุคลากรกีฬาอาชีพ และผู้ซึ่งประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับความเสียหายหรืออันตรายจากการแข่งขันกีฬาอาชีพ และกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
2. สนับสนุนการพัฒนานักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ
3. เชิดชูเกียรติแก่นักกีฬาอาชีพแห่งชาติและบุคลากรกีฬาอาชีพแห่งชาติ
4. ส่งเสริมและสนับสนุนการเตรียมนักกีฬาเพื่อให้เป็นนักกีฬาอาชีพทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ
5. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพเพื่อหารายได้เข้ากองทุน
6.เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด.
กำลังโหลดความคิดเห็น