ผู้จัดการออนไลน์ - พลันที่มีรายงานข่าว “เจ๊ยุ ยุวดี ธัญญสิริ” อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ล้มป่วยด้วยอาการเลือดออกในกระเพาะ และถูกนำส่งห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำเอาคนในวงการข่าวและวงการการเมืองต่างตกใจ และพากันไปให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้สื่อข่าวและผู้ที่เคยทำงานข่าวทำเนียบรัฐบาล ต่างร่วมกันขอพรให้ครูข่าวของพวกเขาหายจากอาการป่วยในเร็ววัน แต่กระนั้นก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ทราบว่า “เจ๊ยุ” คนนี้ เป็นใครกัน
ทั้งนี้ “เจ๊ยุ” ได้เคยให้สัมภาษณ์กับ “จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น ในหนังสือ “เส้นทาง...คนหนังสือพิมพ์” ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถึงประวัติส่วนตัวของเธอที่ใครหลายคนอาจมิทราบได้ เธอจบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนศรีอยุธยา จบการศึกษาปริญญาตรีคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นแรก เมื่อปี 2511 เริ่มงานข่าวจากการทำหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยออกจำหน่ายบริเวณท่าพระจันทร์ ก่อนจะไปฝึกงานที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ บางกอกเวิร์ลด์ ที่มีทหารอเมริกันเป็นบรรณาธิการข่าว ซึ่งต่อมาก็ถูกจ้างให้ทำงานที่นี่ในเงินเดือนหลักพันบาท แม้จะถูกที่บ้านคัดค้านในวิชาชีพนี้ และมีคนดูถูก โดยมองว่าเป็นอาชีพที่ทำให้ได้รู้อะไรก่อนคนอื่น จากนั้นบางกอกโพสต์ได้เข้ามาซื้อกิจการบางกอกเวิร์ลด์ เจ๊ยุ จึงได้สังกัดชายคาแห่งนี้จนเกษียณอายุ และหลังจากนั้นก็ยังถูกจ้างให้เป็นผู้สื่อข่าวฟรีแลนซ์จนถึงปัจจุบัน
โดย “เจ๊ยุ” เล่าว่า การทำข่าวในยุคนั้นยังไม่มีสายประจำนักข่าวการเมืองจะต้องตระเวนไปตามที่ต่างๆ ทั้งรัฐสภา กระทรวง สถานที่ราชการ หรือการนัดสัมภาษณ์แหล่งข่าว ซึ่งในช่วงแรกก็รู้สึกว่ายากเหมือนกัน เนื่องจากเครื่องมือสื่อสารไม่ทันสมัย นักข่าวสมัยก่อนจึงต้องเขี้ยวปกปิดแหล่งข่าวและข่าวให้ไปวัดกันที่หน้าหนังสือพิมพ์ตอนเช้า แต่ก็รู้สึกโชคดีที่ทำให้รู้จักกับแหล่งข่าวเยอะ และยังมีรุ่นพี่ต่างสำนักช่วยสอนการทำข่าวด้วย ต่อมาในยุครัฐบาลพลเรือนมีการแบ่งสายงานข่าว จึงได้สังกัดสายทหารและการเมือง นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นได้มาเข้ามาสัมผัสที่ทำเนียบรัฐบาล ในยุคปลายของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร แต่ก็เป็นเพียงแค่ได้ยืนรอริมรั้วทำเนียบ เนื่องจากมีการเข้มงวดการรักษาความปลอดภัยอย่างสูง บางครั้งก็อาจได้เข้าไปทำข่าวที่ตึกนารีสโมสรเท่านั้น จนกระทั่งยุครัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พ.ศ. 2518 จึงได้เปิดให้ผู้สื่อข่าวเข้ามาทำงานภายในทำเนียบรัฐบาล
ชื่อของ “เจ๊ยุ” เริ่มเป็นที่รู้จักของสังคมหลังจากที่ออกมาแฉกรณี “บิ๊กขี้หลี” คุกคามทางเพศนักข่าวสาว เมื่อปี 2546 ขณะที่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาคุมอำนาจใหม่ๆ “เจ๊ยุ” ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในหลายครั้ง ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ว่าไม่พอใจเนื่องจาก พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม สามีของตนไม่ได้ดำรงตำแหน่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม “เจ๊ยุ” ได้ยุติการปฏิบัติงานภายในทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2559 ภายหลังจากที่สำนักงานโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งเพิ่มการรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ได้แจ้งให้สื่อแต่ละสำนักออกใบรับรองมาก่อนหน้าเพื่อยืนยันสถานะ หากไม่มีใบรับรองจะไม่อนุญาตให้เข้าทำเนียบฯ โดดเด็ดขาด ทำให้ “เจ๊ยุ” ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้สื่อข่าวนอกประจำการของ นสพ.บางกอกโพสต์ ถูกเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบฯ โดยอ้างว่าบัตรหมดอายุและไม่มีต้นสังกัดประจำ รวมถึงไม่มีต้นสังกัดส่งชื่อเข้ามาเหมือนสื่อมวลชนปกติ หากจะเข้าทำเนียบฯ ต้องแลกบัตรเข้า แต่ นางยุวดี ตัดสินใจเดินทางกลับไม่ได้เข้าไปภายในทำเนียบฯ แต่อย่างใด ซึ่งถือเป็นการปิดฉากการทำหน้าที่ภายในทำเนียบฯ สถานที่ที่เธอเคยใช้ซักถามนายกรัฐมนตรี และผู้มีอำนาจ รวมทั้งสั่งสอนนักข่าวรุ่นใหม่ๆ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
โดยมีรายงานว่า ภารกิจสุดท้ายของ “เจ๊ยุ” ในรังนกกระจอก คือ ขอความร่วมมือผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลช่วยจัดการนิทรรศการเพื่อแสดงความอาลัยแด่ในหลวง รัชกาลที่ ๙
จากนั้น “เจ๊ยุ” จึงเข้าไปที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ทุกวันแทน เสมือนว่ายังคงปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนต่อไป โดยมีบรรดานักข่าวรุ่นน้อง แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ทั้งนี้ “เจ๊ยุ” ได้ปรากฏตัวผ่านสื่อครั้งล่าสุดเมื่อคราวที่องค์กรสื่อมวลชนได้รวมตัวคัดค้านร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ.... ที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปสื่อมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
แม้วันนี้ “เจ๊ยุ” ยังคงรักษาตัวอยู่ภายในห้องไอ.ซี.ยู. โดยมี “บิ๊กยักษ์” และพี่น้องชาวสื่อคอยให้กำลังใจให้เธอกลับมาสู่สนามข่าวอีกครั้งหนึ่ง แต่สำหรับชื่อของ “เจ๊ยุ” ณ วันนี้ ถือเป็นอีก 1 บุคคลในตำนานของวงการสื่อมวลชนที่ทำให้ผู้สื่อข่าวรุ่นหลังได้บอกกล่าวเล่าระลึกถึงไปอีกนาน