xs
xsm
sm
md
lg

กองทัพยอมถอนฟ้องหมิ่น 3 นักสิทธิมนุษยชนแฉรายงานทรมานชายแดนใต้ ชง 3 ข้อเสนอทำงานร่วม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายสมชาย หอมละออ นักสิทธิมนุษยชน (แฟ้มภาพ)
คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหน้า ถกไกล่เกลี่ย 3 นักสิทธิมนุษยชน สรุปยอมถอนฟ้องหมิ่นประมาทหลังเสนอรายงานการทรมานและปฏิบัติที่โหดร้ายในชายแดนใต้ปี 57-58 ชงตั้ง กก.สอบร่วมกันกรณีพบละเมิดสิทธิ จัดตั้งกลไกกำหนดมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิและการแก้ไข ส่วนการจัดทำรายงานต้องผ่านความเห็นชอบจากกลไกร่วมเพื่อความถูกต้อง ยันยินดีให้ตรวจสอบ

วันนี้ (7 มี.ค.) ที่โรงแรมสุโกศล พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ส่วนหน้า พล.ต.ชินวัฒน์ แม้นเดช รองแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ประชุมร่วมกับนายสมชาย หอมละออ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมินะ นักสิทธิมนุษยชน ผู้เผยแพร่รายงาน “สถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีฯ ในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558” และถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ และไกล่เกลี่ยให้ยกฟ้องยุติการดำเนินคดีต่อ 3 นักสิทธิมนุษยชน ฐานหมิ่นประมาท

จากนั้น พ.อ.ปราโมทย์แถลงภายหลังการพูดคุยว่า กอ.รมน.ภาค 4 สน. พร้อมด้วยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้จัดประชุมหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน สืบเนื่องจาก กอ.รมน.ภาค 4 สน. โดย ผอ.รมน.ภาค 4 สน.มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเผยแพร่รายงานการซ้อมทรมานผู้ต้องหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค 4 สน.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐไม่มีเจตนาเอาชนะในทางคดี หรือให้ 3 เอ็นจีโอที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้รับโทษทัณฑ์แต่อย่างใด ที่ผ่านมาทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้มีการประสานงานกันมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญ คือ การวางวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างผู้แทนรัฐบาลและผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติที่เข้ามาร่วมสังเกตการณ์และเป็นพยาน โดยบรรยากาศการประชุมในวันนี้เป็นไปด้วยดี สรุปในวันนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่าจากนี้ไปการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ทั้งหน่วยงานของรัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต้องร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ สันติสุขต้องเกิดขึ้นภายในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ในวันนี้ได้มีข้อบรรลุตกลงร่วมกันประการ 3 ประการ คือ 1. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกันกรณีที่พบว่ามีรายงานหรือการร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. จะต้องมีการจัดตั้งกลไกที่มีความเหมาะสมเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งมาตรการในการแก้ไขแล้วเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปแล้ว เช่น สถานที่การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย โดยจะมีการออกระเบียบในการซักถาม รวมทั้งซักซ้อมทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรสิทธิมนุษยชน 3. การจัดทำรายงานด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องผ่านความเห็นชอบจากกลไกต่างๆ ที่ร่วมกันตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมตรวจสอบ ให้การรายงานเหตุการณ์ต่างๆ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยความถูกต้องและไม่เกิดผลกระทบต่อใคร รวมทั้งเพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์การแก้ไขปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต กอ.รมน.ภาค 4 สน.ยินดีร่วมงานกับภาคเอกชนทุกองค์กร รวมทั้งองค์กรภาคประชาสังคมทั้งภายในและต่างประเทศ พร้อมให้เข้าตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่สำหรับการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีนั้นเพียงต้องการให้มีการตรวจสอบการความจริงร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป ด้วยเหตุนี้ทาง กอ.รมน.ภาค 4 สน.และเจ้าหน้าที่รัฐทุกนายถูกพาดพิงและกล่าวถึงในรายงานฉบับดังกล่าวจึงไม่ขอไม่ขอติดใจเอาความน่าจะขอถอนแจ้งความดำเนินคดีต่อ 3 เอ็นจีโอที่ สภ.เมืองปัตตานีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขณะที่นายสมชายกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นถือว่าทุกฝ่ายควรเรียนรู้ ทั้งฝ่ายเอ็นจีโอและรัฐบาลในการส่งเสริมการปกป้องสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของสันติสุข ที่ทุกฝ่ายต้องการเห็น ทั้งนี้ รายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นข้อมูลที่ได้จากผู้ร้องเรียนที่ต้องได้รับการสอบสวนต่อไป โดยในส่วนราชการต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย เราไม่ประสงค์ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดนำข้อมูลเหล่านี้ไปอ้างอิงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น เพราะรายงานนี้ต้องผ่านการตรวจสอบก่อน นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเดียวหรือหลายๆ กรณีที่ได้บันทึกจากเรื่องร้องเรียนในเบื้องต้นที่จะเสนอให้หน่วยราชการหรือส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจสอบเสียก่อน โดยมีการประสานงานกัน ก่อนที่จะมีการเผยเเพร่ออกไปสู่สาธารณะ

“ขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้นำรัฐบาล ผู้นำกองทัพ หลังจากที่ได้มีการประสานชี้แจงทำความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวกับคดีและได้ถอนฟ้อง” นายสมชายกล่าว

นายสมชายกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม รายงานทั้ง 54 กรณีนั้นตนคิดว่าทางราชการจะไม่นิ่งดูดายและจะร่วมกันตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ถ้ามีเจ้าหน้าที่ทำผิดจริงก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และจะมีการแก้ไขเยียวยาให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดที่ไม่เกิดจากข้อผิดพลาดของเจ้าหน้าที่อย่างเดียว แต่รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจาการก่อเหตุความรุนแรงด้วย โดยเราจะประงานกับเจ้าหน้าที่และองค์กรต่างๆ ในภาคประชาสังคมในการเป็นปากเป็นเสียง และดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่อไปด้วย

ส่วนกรณีที่จะไม่มีการเปิดเผยรายงานแต่ใช้วิธีการประสานงานภายในจะทำให้สาธารณชนไม่ได้รับข้อมูลหรือไม่นั้น นายสมชายกล่าวว่า ตนคิดว่าเมื่อมีรายงานออกมาก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและแก้ไขก่อน อีกทั้งในรายงานต้องสะท้อนข้อเท็จจริงที่มีความต่างกัรอยู่ระหว่างกรรรมการสิทธิฯ และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณรับรู้ข้อมูลเพราะในบางคดีไม่ใช่เรื่องขาว-ดำเท่านั้น อาจมีข้อมูลและรายละเอียดที่ต่างกันไป ดังนั้น รายงานที่ดีก็จะพยายามทำให้มีข้อเท็จจริงรอบด้าน และวันนี้ไม่ใช่เป็นการต่อรองเรื่องการถอนฟ้องแต่เป็นการหารือเรื่องการประสานงานในอนาคต

เมื่อถามว่า เอ็นจีโอจะมีการผลักดันรายงานชุดนี้ในที่ประชุมสภาสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ ที่จะประชุมที่เจนีวาต่อไปหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า เราไม่ได้ส่งคนไปที่เจนีวา และอีกทั้งรานยงานก็ได้มีการเผยเเพร่ไปแล้วจะดึงกลับก็คงไม่ได้ เราเพียงต้องการสะท้อนข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ ในโอกาสที่เราจะมีได้

พ.อ.ปราโมทย์กล่าวว่า ต่อจากนี้เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 สน.จะเชิญส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมถึงมูลนิธิมาตรวจสอบในเบื้องต้นที่เราจะตรวจสอบเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ และได้นำหลักฐานมายืนยัน ยังไม่พบว่ามีการละเมิด จากนี้ไปกลไกที่เราจะตั้งขึ้นมาก็ต้องทำการตรวจสอบร่วมกัน ส่วนเอกสารที่เผยเเพร่ไปก่อนหน้านี้ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ แต่เราจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เอกสารฉบับนั้นจะไม่สามรถให้ใครนำไปโฆษณาชวนเชื่อ แอบอ้างเพื่อประโยชน์และการใดๆ ก็ตาม อีกทั้งหากในอนาคตเกิดกรณีที่ข้อมูลทั้งสองส่วนไม่ตรงกัน วันนี้ได้มีการพูดคุยกันเรื่องตั้งกลไกเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อมี รายงานการซ้อมหรือละเมิดสิทธิขึ้นมาจะเริ่มต้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงคู่ขนานพร้อมกันไปด้วย ถ้าพบว่ามีข้อมูลจริงตามที่กรรมการสิทธิฯ รวบรวมมา ทางรัฐก็มีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเมิดตามกฎกติกา

เมื่อถามว่าการถอนฟ้องครั้งนี้มีนัยสำคัญกับการที่สภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชนจะมีการพิจารณาสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยในสัปดาห์หน้าหรือไม่ พล.ท.ชินวัตรกล่าวว่า กระบวนการนี้เกิดขึ้นมานาน ในการทำงานร่วมกับเอ็นจีโอในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ตนขอยืนยันว่านโยบายการแก้ปัญหาของรัฐบาลยึกหลักสันติวิธี โดยเฉพาะการยืนยันของนายกรัฐมนตรีที่ใช้แนวทางนี้มาโดยตลอด รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งถือเป็นหนึ่งในสันติวิธีที่รัฐต้องรับผิดชอบและทำอย่างเต็มที่ ทางภาคประชาสังคมและเอ็นจีโอที่ลงไปทำงานถือเป็นกระจกเงาในการสะท้อนการทำงานของรัฐอย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นจึงไม่อยากให้สื่อไปโยงกับนัยยะสำคัญอื่นๆ เพราะเป็นความต้องการของเรามาโดยตลอด ในการทำงานร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนทุกองค์กร เพื่อยุติปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเเนวทางสันติวิธี

“การจัดตั้งกลไกร่วมที่จะทำต่อจากนี้จะเป็นการทำงานร่วมกัน เป็นการมองไปข้างหน้าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเรื่องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ การเขียนรายงานซ้อมทรมาน เป็นสิทธิและหน้าที่ของเอ็นจีโอ กลไกตั้งกล่าวเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ใช่การปิดกั้นรายงาน แต่เพียงให้รับรู้ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรบ้าง และจะแก้ไขปัญหาลงโทษผู้กระทำผิดตามกระบวนการกฎหมาย รวมถึงเยียวยาผู้ถูกละเมิดอย่างไร” พล.ท.ชินวัตรกล่าว

พล.ท.ชินวัตรกล่าวว่า ตนขอย้ำว่าทาง กอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้มีการทำงานร่วมกันกับผู้ทำรายงานทั้ง 3 คน ซึ่งหลังจากการตรวจสอบพบว่าไม่มีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายงาน คงถือเป็นบทเรียนการทำงานรายงานของเราในอดีตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เราจะต้องเดินไปด้วยกันในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายเเดนใต้ ตนเชื่อว่าทุกภาคส่วนต้องการเห็นความสงบสุขและสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ การทำงานร่วมกันคือพลังในการสร้างสันติสุข และยุติปัญหาความรุนแรงลงได้

ขณะที่นายโคทม อารียา นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า เป้าหมายของการพูดคุยวันนี้คือทำอย่างไรให้เกิดความไว้วางใจและการทำงานร่วมกัน พร้อมกับรับทราบข้อห่วงใยของทุกฝ่ายร่งมกัน เช่น นำข้อมูลในรายงานอาจนำไปใช้ในการก่อความรุนแรง ต่อไปรายงานอาจมีข้อเท็จจริงที่ต่างกันอยู่ ผู้ร้องเรียนอาจร้องเรียนว่าถูกนำไปสอบสวนโดยไม่ให้ใส่เสื้อผ้า แต่ฝ่ายสอบสวนบอกว่าไม่มี ต่อไปก็อาจมีกลไก สอบสวนแบบใหม่ เช่น ไม่ให้สอบสวน 1 ต่อ 1 แต่ให้มีกล้องวงจรปิด จะเป็นการกำหนดเรื่องกลไกในการตรวจสอบต่อไป และเมื่อมีเรื่องร้องเรียนจะนำไปสู่จุดใดที่จะนำไปสู่การประสานงานที่มีคุณภาพ

น.ส.อัญชนากล่าวว่า ขอขอบคุณในการถอนแจ้งความ และในจุดยืนของผู้ทำรายงานและองค์กรก็ยังยืนยันที่จะทำงานในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ต่อไป สิ่งที่จะเพิ่มเติมคือการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐในการป้องกันไม่ให้มีการละเมิดสิทธิ โดยจะต้องหาเเนวทางต่อไปในอนาคตร่วมกันในลักษณะ แนวทางปฏิบัติอย่างแท้จริง และที่สำคัญต้องปกป้องเหยื่อที่เป็นพลเรือนทุกคนด้วย

น.ส.พรเพ็ญกล่าวว่า ถือเป็นบทเรียนสำคัญในการทำงานตามบทบาทของนักสิทธิมนุษยชนซึ่งบทบาทการทำงานไม่ได้มีเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แนวทางการทำงานร่วมกันนี้ถือเป็นประโยชน์สำหรับประชาชน ทั้งนี้ การทำรายงานด้านสิทธิมนุษยชนถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องมีความรอบคอบมากขึ้น การประสานและรับฟังคงจะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และอาจจะเป็นตัวอย่างให้พื้นที่อื่นๆ ในการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ในสังคมไทยด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น