ยังจำกันได้ไหม คดีแรงงานพม่า 2 คน ตกเป็นผู้ต้องหาฆ่า และข่มขืน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคน ที่เกาะเต่า เมื่อสองปีก่อน
คดีนี้เป็นข่าวโด่งดังมากในช่วงนั้น เพราะคนไม่เชื่อว่า แรงงานพม่าทั้งสองคน น่าจะถูกยัดเยียดข้อหา ให้เป็นแพะรับบาปแทนลูกชายของผุ้มีอิทธิพลบารมีบนเกาะเต่า กระแสข่าว “แพะพม่า “ ถูกปั่นให้ร้อนแรง ทั้งในโซเชียลมีเดีย และสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี ช่วยกัน “มโน” ชักจูง สังคมให้คล้อยตามว่า ตำรวจไทย จับแพะพม่า
เพจ CSI LA อุปโลกน์ ตัวเอง เป็นนักสืบ นั่งเทียน วิเคราะห์เหตุการณ์ ตีสีใส่ไข่เป็นตุเป็นตะ พิพากษาว่า ทั้งสองคนเป็นแพะ
จนทางการอังกฤษต้องส่งคนมา ติดตามการ ทำงานของตำรวจไทยในคดีนี้
เรื่องแพะพม่านี้ ส่วนหนึ่งถูกฝ่ายที่มีอคติ กับ คสช. เอาไปบิดเบือน เพื่อทำลายความ่นาเชื่อถือของ กระบวนการสืบสวนสอบสวน โดยมีสื่อมวลชนเจ้าประจำ คอยโหมกระพือให้ไฟไหม้บ้าน
ไม่ต่างอะไรกับ เรื่อง การใช้ ม. 44 ตามจับผู้ร้ายหนีคดีฟอกเงิน และรับของโจร ที่หนีไปซ่อนในวัดธรรมกาย ที่ถุกฝ่ายที่มีอคติกับรัฐบาล พยายามบิดเบือน ให้เป็นเรื่องการเมือง โดยมีสิ่อมวลชนเจ้าเก่า รับบทเดิมๆ
คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557 หลังเที่ยงคืน มีผู้พบศพ นายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ และ น.ส. ฮานนาห์ วิกตอเรีย วิทเธอริดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บริเวณโขดหิน หาดทรายรี ม.1 ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยถูกฟันด้วยจอบ จนเสียชีวิต และ น.ส. ฮานนาห์ มีร่องรอยถูกข่มขืน
หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นายซอลิน ด้ที่เกาะเต่า ส่วน นายเวพิว ผู้ต้องหาอีกรายได้หลบหนีไป และถูกจับกุมได้ที่ ท่าเทียบเรือในตัวเมือง จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งคู่เป็นแรงงานพม่า ที่ทำงานบนเกาะเต่า ถูกตั้ง้ข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสอง โดยมีหลักฐานสำคัญคือ การตรวจดีเอ็นเอ ของผู้ต้องหาทั้งสองคน ที่ตรงกับ ดีเอ็นเอที่พบบนร่างของผุ้ตาย ประกอบกับ พยานหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ในเวลาที่เกิดเหตุ
จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่า ไมได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และที่รับสารภาพในชั้นสอบสวน เพราะถูกตำรวจซ้อม และทรมาน ให้รับสารภาพ ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังกระหึ่มโลกออนไลน์ในเวลานั้นว่า ตำรวจไทย จับแพะพม่า
ศาลจังหวัดเกาะสมุย อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ตัดสินว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษด้วยการ ประหารชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมานี้เอง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเกาะสมุย อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8
โดยคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งสองโดยมีนายซอลิน แรงงานชาวเมียนมา เป็นจำเลยที่ 1 และนายเวพิว เป็นจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าโจทก์ไม่มีเอกสาร และภาพถ่ายใน ขั้นตอนการจัดเก็บวัตถุพยาน การบรรจุปิดผนึก การส่งและรับวัตถุพยาน และการตรวจสอบวัตถุพยานบางขั้นตอนมาเป็นพยานนั้น
เห็นว่าในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีนี้ นับแต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งเหตุเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานไปจนถึงการตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้น ผู้ตรวจพิสูจน์ออกรายงานส่งให้พนักงานสอบสวน มีเหตุการณ์ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลายขั้นตอน การทำเอกสาร ถ่ายภาพเหตุการณ์และขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดเพื่อเก็บไว้ย่อมเป็นไปไม่ได้
การที่โจทก์ไม่ได้เอกสารหรือภาพถ่ายของเหตุการณ์บางขั้นตอน เช่น ไม่ส่งภาพขณะที่ตรวจเก็บวัตถุพยานจากช่องคลอด ทวารหนัก และหัวนมของผู้ตายที่ 2 มาเป็นพยาน จึง ไม่เป็นข้อพิรุธที่จะระแวงว่าเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ปฏิบัติงานในขั้นตอนในการตรวจเก็บนั้น เพราะสิ่งที่ทำให้ศาลเชื่อหรือไม่เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพถ่ายภาพหนึ่งภาพใด หรือเอกสารฉบับหนึ่งฉบับใดของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น
แต่ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ก็โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดว่ามีเหตุผลเชื่อมโยง มั่นคงหนักแน่น จนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดนั้นโดยปราศจากความสงสัยใดๆ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับเหตุผลอื่นๆ ตามอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลย ทั้งสองไม่เป็นสาระ และไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
คดีนี้ หากศาลฎีกา ยอมให้จำเลยฏีกาได้ ก็ต้องต่อสุ้ในชั้นฎีกาต่อไป แต่ถ้าฎีกาไมได้ เพราะคำพิพากษา ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องต้องกันท้งสองศาล ฏีกาได้เฉพาะข้อกฎหมาย คดีนี้ก็ถีงที่สุด