xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ปัดใช้ ม.44 รังแกพระ - วอนถ้า “EIA-EHIA” ถ่านหินผ่านต้องยอมรับ อย่าประท้วงอีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” จี้ทำ EIA-EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ช้าจะเสียการ ชี้หากผลออกมาผ่านกลุ่มคัดค้านต้องยอมรับ อย่าเสียเวลาประท้วงอีกเลย พร้อมปัดใช้มาตรา 44 รังแกพระ-ศาสนาพุทธ เพียงแต่วัดพระธรรมกายไม่เคารพกฎหมายก่อน และจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจค้น มั่นใจถึงความปลอดภัย

วันนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่าเรื่องการทำ EIA และ EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหิน อย่าไปฟังคำบิดเบือนของใครทั้งสิ้น วันนี้ให้ไปทำใหม่ก็ไปทำใหม่ คำว่าทำใหม่ก็ต้องมีของเก่าอยู่แล้วด้วย เอาของเก่ามาพิจารณาร่วมกันกับของใหม่ที่ยังทำไม่เสร็จทั้ง 2 ฉบับ ถ้าไม่ผ่านก็สร้างไม่ได้ ทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดผลตามมา แล้วเราก็ต้องไปพิจารณาทางเลือกอื่นที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึงต้นทุนด้านพลังงานชนิดอื่นอีกด้วย ความมีเสถียรภาพคือมันไม่สม่ำเสมอเพราะการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนสามารถใช้ในโรงงานขนาดเล็ก ในการที่จะส่งเข้าเป็นพลังงานไฟฟ้าหลักอยู่ในระบบอย่างเดียว มันค่อยข้างที่จะเป็นปัญหา เพราะบางครั้งมันขึ้นๆ ลงๆ มันไม่เสถียร มันต้องมีพลังงานหลักใส่เข้าไปด้วย เพราะงั้นถ้าเราสามารถทำได้อย่างที่ว่าทั้งหมดมันก็จะมีการผสมกันทดแทนกันอยู่ในกรอบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของการจัดหาพลังงานตามแผนพีดีพีจะต้องตอบคำถามข้างต้นได้ทั้งหมด ตอบคำถามประชาชนได้ด้วย รัฐบาลจริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอกนะครับ เพราะว่าไม่ได้เป็นผลอะไรกับผมเอง หรือกับรัฐบาลกับ ครม. แต่เป็นผลกับประเทศชาติ ถ้าทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้

“ฉะนั้นผมไม่อยากให้มาขัดแย้งกันอีก ก็มีการพูดจาหารือกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาประท้วงนะครับ ผมก็ให้ทบทวนอยู่แล้วล่ะในขณะนี้ แต่อย่าใช้คำว่าจะกดดันอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าทำ หรือถ้าไม่ทำจะเป็นยังไง ผมว่าไม่ถูกต้อง กฎหมายก็มีอยู่ เพราะฉะนั้นรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่าประท้วงกันอีกเลยนะครับ ให้เสียแรงเสียเวลา อันตราย เดินทางไปมานะครับ เสียเวลาหาสตางค์ดูแลครอบครัวด้วย ช่วยกันไปพัฒนาตนเอง ทำความเข้าใจ เดินหน้าประเทศดีกว่า” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า การทำ EIA และ EHIA ก็ขอให้เร่งทำ ให้ได้ข้อยุติ จะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ยิ่งช้าก็จะยิ่งเสียการ จะได้รีบคิดกันใหม่ จะทำอะไรแล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคตร่วมกัน การเสียอนาคต เสียโอกาส ความเสี่ยง พลังงาน ต้นทุน แล้วก็ความเสถียร แล้วก็ราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อาจจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นมีปัญหาอีก

นายกฯ ได้กล่าวถึงกรณีวัดพระธรรมกาย ว่าตนไม่ได้หมายความว่าจะเอามาตรา 44 มารังแกพระ รังแกพุทธศาสนา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ตนเป็นไทยพุทธ ครอบครัวก็ไทยพุทธ แต่มีหน้าที่ในการดูแลทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกมาตรา 44 เกี่ยวกับเรื่องกรณีนี้เนื่องจากกฎหมายทุกกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับเลยจากคนบางกลุ่มบางพวก ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิด แล้วไม่ยอมรับอำนาจรัฐไม่เคารพไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมปกติ แล้วก็มีการผิดวินัยสงฆ์เข้าไปด้วย

เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรา 44 เพื่อมาดูแลในภาพรวม แล้วเจ้าหน้าที่เขาก็ทำงานลำบาก วันนี้ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาก็เหน็ดเหนื่อย มีการสร้างภาพเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน การรักองค์กร ไม่ว่าองค์กรใดก็ตามเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องรักในทางที่ถูก ขจัดคนไม่ดีในองค์กรออกไป โดยให้กระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายตัดสิน บ้านเมืองมีขื่อมีแปไม่มีใครจะสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ คดีความคงต้องเดินหน้าต่อไปทุกคดี สังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ต้องการเห็นความโปร่งใส กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่แล้วบังคับใช้ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องใช้มาตรา 44

นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานไปทำงาน มีความเสี่ยง อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ความรุนแรงพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะมีบุคคลที่ 3 หรือ 4 อะไรก็แล้วแต่เข้ามา เพราะฉะนั้นถ้ามีรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขาก็มีครอบครัว มีลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบ บุคคลที่รักของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขาถูกกระทบกระทั่ง จนท้ายที่สุดก็บานปลายไปสู่การใช้กำลังกัน แล้วจะทำอย่างไร ไม่เห็นใจเขาหรือ พอเขาไม่ทำก็ไปว่าเขา พอเขาทำก็ไม่ได้อีก แล้วจะอยู่กันอย่างไร

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา พัฒนาสู่ความยั่งยืน 24 กุมภาพันธ์ 2560

“สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่านวันนี้ผมมีศาสตร์พระราชา ที่มีความสำคัญในการสร้างความมั่นคงกับชีวิต เพื่อจะลดปัญหาปากท้อง หนี้สิน ที่เราเรียกว่าชักหน้าไม่ถึงหลังและป้องกันปัญหาสังคมได้ในระดับครัวเรือนซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งอันได้แก่แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการบริหารการเงินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามที่สมเด็จย่าได้ทรงอบรมสั่งสอนตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เช่น การจ่ายค่าขนมเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้รู้จักการบริหารเงิน โดยทรงยอดกระปุกไว้ซื้อของที่สนพระทัย เช่น เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูป รถจักรยาน รู้จักการอดออม โดยทรงฝากเงินในธนาคารและเรียนรู้ การคำนวนดอกเบี้ยจากการลงทุนและการสร้างรายได้ โดยได้ทรงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกแล้วเก็บมาขายรู้จักการให้โดยตั้งกระป๋องคนจน ซึ่งได้สละเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ จากกิจกรรมที่มีกำไร สำหรับนำไปมอบให้โรงเรียนคนตาบอด เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน อย่างนี้เป็นต้นนะครับ ผมไม่ทราบว่าเด็กๆ ทุกวันนี้ยังเก็บเงินค่าขนมไว้สำหรับฝากธนาคารบ้างไหม โครงการตัวอย่างที่ผมเห็นว่าควรสนับสนุนน่าชื่นชมอันได้แก่โครงการออมวันละน้อยตามรอยสมเด็จพ่อสานต่อเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบาย ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ของรัฐบาล ซึ่งมีการสอนให้เด็กนักเรียนเป็นนักธุรกิจตัวน้อย ได้นำสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ ของเล่น อาหาร จากกิจกรรมนอกเวลาเรียนมาซื้อขายในตลาดนัดร้อยร้านที่ทางโรงเรียนได้จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆ ได้รู้จักการเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อได้รับประสบการณ์จริงจากการประกอบอาชีพค้าขาย ซึ่งเป็นอาชีพสุจริตนะครับ เราต้องรู้เทคนิคการขาย การเรียกลูกค้าเห็นคุณค่าของเงินรู้จักการออมการบริหารการเงิน จัดทำบัญชีมีการเก็บเงินบางส่วนเพื่อไว้เป็นทุนการศึกษาหรือเพื่อซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ อีกด้วย สิ่งที่สำคัญคือ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงไม่ว่าจะเด็กหรือโตแล้ว ขอให้ช่วยกันคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมดีดีเหล่านี้ที่จะมีการสานต่อศาสตร์พระราชาให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อจะปลูกฝังให้เยาวชนของชาติได้มีทักษะทางธุรกิจตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และรู้คุณค่าของเงินการบริหารการเงิน รวมทั้งการออมด้วย โตขึ้นเราจะได้พึ่งพาตัวเองได้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ระบบฐานราก ช่วยครอบครัว

เรื่องที่ผมอยากทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในวันนี้หลายเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก คือ พลังงาน ขอให้เข้าใจว่าพลังงานนั้นจะมีความสำคัญมากทั้งในปัจจับันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งจัดหานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาอาศัยพลังงานทั้งสิ้น

สำหรับโครงสร้างพลังงานพื้นฐานทุกระบบ ทั้งการคมนาคมขนส่ง การสื่อสารสารสนเทศ อินเทอร์เน็ต และในกิจกรรมภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและบริการซึ่งนับวันจะมากขึ้นอย่างไรก็ตามรัฐบาลและ คสช.ก็ต้องคำนึกถึงการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาในด้านพลังงานกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยผมยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่อยากให้ประชาชนทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะหากเราลงทุนด้านพลังงานไม่เหมาะสมต่อสภาพความเป็นจริงแล้วมันอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง ด้านความมั่นคงทางพลังงานอย่างยิ่ง สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องกำเนินไฟฟ้านั้นมีหลายประเภทด้วยกัน เราก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้เหมาะสมเราไม่อาจพึ่งพาฝากความหวังไว้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นกับก๊าซธรรมชาติ น้ำมันวันนี้เราพึ่งพาอยู่ 70 เปอร์เซ็นต์ ในปัจจุบันเราต้องลดลงเราต้องหาเชื้อเพลิงอย่างอื่นที่เหมาะสมราคาถูกหาง่ายและปลอดภัยมีคุณภาพ ตลอดจนไม่มีความเสี่ยงในเรื่องราคามากนัก เพื่อจะมาทดแทน 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ว่าให้ลดน้อยลง ไม่งั้นมันจะเป็นการเพิ่มภาระของพี่น้องประชาชน ภาคการลงทุนต่าง ๆ ก็จะเกิดอุปสรรคทางด้านสังคมเศรษฐกิจตามมา เพราะงั้นการใช้พลังงานฟอสซิลดังกล่าว ทั้งแก๊ส และน้ำมัน จะต้องลดลงจาก 70 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 60 เปอร์เซ็นต์ให้ได้เสียก่อน และเราจำเป็นต้องเพิ่มพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานจากขยะ ชีวมวล ลม แดด และอื่นๆ เราก็ทำอยู่แล้วในขณะนี้ หาดเราทำเพิ่มได้จาก 30 เปอร์เซ็นต์ เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ มันย่อมดีกว่าเดิมลดการผลิตแก๊สซีโอทู ลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องปรับสัดส่วนแผนพีดีพีของเรา จากการใช้พลังงานจากฟอสซิล 70 เปอร์เซ็นต์ กับ 30 เปอร์เซ็นต์ จากพลังงานหมุนเวียน ให้เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ และ 40 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับนะครับ

ปัญหาสำคัญต่อมาวันนี้เราอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน คือคำว่าความเสถียรและไม่เสถียร ก็คือความแน่นอนของพลังงานที่เกิดขึ้นจากการผลิต จากเชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การก่อสร้าง ต้นทุนการก่อสร้าง วัสดุต้นทุนที่นำมาใช้ในการเป็นเชื้อเพลิง เหล่านี้อาจจะทำให้มีต้อนทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น เราต้องเอาเหล่านี้มาพิจารณาด้วย อาจจะส่งผลกระทบกับค่าไฟของคนทั้งประเทศ เพราะเราเอามารวมกันแล้วก็หารแบ่งกัน ใช้อัตราค่าไฟเท่ากันทั้งประเทศอาจจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องมองในหลายประเด็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแก๊ส จากน้ำมัน จากถ่านหิน จากพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ทุกอย่างต้องพิจารณาในทุกแง่ทุกมุม ซึ่งถ่านหินนั้นเราก็เอามาพิจารณาเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จะนำมาพิจารณาในการที่จะพยายามลดสัดส่วน และค่าใช้จ่ายจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน ที่เราจำเป็นต้องนำเข้าเป็นจำนวนมากทุกปี เราก็ไม่มั่นใจว่าวันหน้าจะสะดวกง่ายดายแบบนี้หรือไม่ มีพอหรือเปล่า ราคาจะสูงขึ้นอีกหรือเปล่า แล้วเขาจะขายหรือไม่วันหน้าถ้าน้อยลงอันนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเสี่ยง

ส่วนถ่านหินถ้าเราสามารถทำได้มันจะต้องเป็นถ่านหินที่มีคุณภาพสูง ไม่ใช่ถ่านหินลิกไนต์ แล้วก็จะต้องเป็นชนิดทีสร้างมลภาวะน้อยที่สุด ซึ่งการสร้างมลภาวะนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน วันนี้ก็ยังมีใช้อยู่ในต่างประเทศด้วย ไม่ใช่เป็นถ่านหินลิกไนต์ เป็นถ่านหินชนิดบิทูมินัส ซึ่งมีคุณภาพมีระบบกำจัดในกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้ เราต้องทำให้สอดคล้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการลดโลกร้อนไปด้วย ซึ่งผมได้ไปกล่าวหรือไปรับทราบมติในที่ประชุมสหประชาชาติไปแล้ว ว่าเราต้องพยายามลดให้ได้ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 อันนี้ตนไม่เคยลืมและไม่ได้มุ่งหวังว่าที่ทำมาเพื่อจะยกเลิกไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญา หรือไปทำเพื่อประโยชน์ใครทั้งสิ้น มองว่าประโยชน์ประเทศชาติอยู่ตรงไหน ประชาชนอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นอะไรทีทำได้เราก็ต้องหาทางพิจาณาหาความร่วมมือกันให้ได้

โดยอยากจะเรียนให้ทราบว่าประเทศไทยนั้นเราอาจจะโชคดีที่เราผลิตก๊าซซีโอทู ก๊าซคาบอนไดออกไซด์ เพียง 0.9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าหลายประเทศในโลก แต่รัฐบาลก็จำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญา ขณะเดียวกันต้องรับฟังเสียงจากประชาชนไปด้วย จะเห็ได้ว่า 2 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลก็ฟังมาโดยตลอด ไม่ได้หมายความว่าจะไปสั่งการ หรือลงมติโดยที่ไม่ฟังเสียงจากประชาชนเลย เราต้องการ การมีส่วนร่วมด้วยความเข้าใจ มากกว่าการบังคับใช้กฎหมาย

สำหรับเรื่องของการทำ EIA และ EHIA ก็อย่าไปฟังคำบิดเบือนของใครทั้งสิ้น วันนี้ให้ไปทำใหม่ก็ไปทำใหม่ คำว่าทำใหม่ก็ต้องมีของเก่าอยู่แล้วด้วย ก็เอาของเก่ามาพิจารณาร่วมกันกับของใหม่ที่ยังทำไม่เสร็จ ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งถ้าไม่ผ่านก็สร้างไม่ได้ ผมจะไปบังคับได้ยังไง ทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดผลตามมา แล้วเราก็ต้องไปพิจารณาทางเลือกอื่นที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึงต้นทุนด้านพลังงานชนิดอื่นอีกด้วย ความมีเสถียรภาพคือมันไม่สม่ำเสมอเพราะการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนสามารถใช้ในโรงงานขนาดเล็ก ในการที่จะส่งเข้าเป็นพลังงานไฟฟ้าหลักอยู่ในระบบอย่างเดียว มันค่อยข้างที่จะเป็นปัญหา เพราะบางครั้งมันขึ้นๆ ลงๆ มันไม่เสถียร มันต้องมีพลังงานหลักใส่เข้าไปด้วย เพราะงั้นถ้าเราสามารถทำได้อย่างที่ว่าทั้งหมดมันก็จะมีการผสมกันทดแทนกันอยู่ในกรอบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของการจัดหาพลังงานตามแผนพีดีพีจะต้องตอบคำถามข้างต้นได้ทั้งหมด ตอบคำถามประชาชนได้ด้วย รัฐบาลจริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอกนะครับ เพราะว่าไม่ได้เป็นผลอะไรกับผมเอง หรือกับรัฐบาล กับ ครม. แต่เป็นผลกับประเทศชาติ ถ้าทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มาขัดแย้งกันอีก ก็มีการพูดจาหารือกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาประท้วงนะครับ ผมก็ให้ทบทวนอยู่แล้วล่ะในขณะนี้ แต่อย่าใช้คำว่าจะกดดันอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าทำ หรือถ้าไม่ทำจะเป็นยังไง ผมว่าไม่ถูกต้อง กฎหมายก็มีอยู่ เพราะฉะนั้นรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่าประท้วงกันอีกเลยนะครับ ให้เสียแรงเสียเวลา อันตราย เดินทางไปมานะครับ เสียเวลาหาสตางค์ดูแลครอบครัวด้วย ช่วยกันไปพัฒนาตนเอง ทำความเข้าใจ เดินหน้าประเทศดีกว่า

เรื่องสำคัญก็คือ เราไม่อาจใช้การเกษตรกรรมเป็นรายได้ของประเทศแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปนะครับ เพราะราคาพืชผลทางการเกษตร มีความผันผวน ไม่แน่นอน เราก็จำเป็นต้องเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม และก็มีอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย มิฉะนั้นประเทศเราจะมีรายได้ไม่เพียงพอ สำหรับในการที่จะนำมาพัฒนาประเทศ หรือการพัฒนาด้านสวัสดิการของรัฐ สาธารณสุข การศึกษา การดูแลผู้สูงวัย และอื่น ๆ อีกมากมายที่ทุกคนก็ทราบดี ผมก็อยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย พยายามทำความเข้าใจกันหน่อยนะครับ ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามก็เหมือนเหรียญ 2 ด้านแหละ มีได้มีเสีย แต่เหรียญที่มีด้านเดียว เป็นเหรียญใช้ไม่ได้อยู่แล้ว เหรียญ 2 ด้าน มีได้มีเสีย แต่ต้องมีได้มากกว่ามีเสีย แล้วจะดูแลผู้ที่เสียอย่างไร เราจะมุ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เปรียบเสมือนเหรียญ 2 หน้าที่ต้องมีสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้าง เราต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมของประเทศให้ได้ในทุกมิตินะครับ การทำ EIA/EHIA นั้น ก็ขอให้เร่งทำ ให้ได้ข้อยุติ จะได้ หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ยิ่งช้าก็จะยิ่งเสียการ จะได้รีบคิดกันใหม่ จะทำอะไร แล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคตร่วมกัน การเสียอนาคต เสียโอกาส ความเสี่ยง พลังงาน ต้นทุน แล้วก็ความเสถียร แล้วก็ราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วยนะครับ เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อาจจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นมีปัญหาอีก

อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่ผมเห็นว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่คนไทยในวันนี้มีความตื่นตัวในเรื่องของการพัฒนาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ถ้าไม่ขัดแย้งกัน ก็ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ถ้าทุกคนใช้โอกาสนี้สำรวจตัวเองว่าเรารู้หรือยัง เรารู้ครบถ้วนหรือยัง ก็จะแก้ปัญหาได้ ถ้ายังรู้ไม่พอ ก็ฟัง ก็อ่านเอา แล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษากันในสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในส่วนของการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ผมอยากจะขอร้องว่าให้ช่วยกันสำรวจตัวเองว่าวันนี้เราใช้กล่องโฟม ใช้ถุงพลาสติก กันแต่ละครัวเรือน แต่ละคนมากน้อยเพียงใด เพราะว่าเป็นขยะซึ่งทำลายได้ยาก เป็นร้อยปีนะครับ เพราะงั้น เรามีการทิ้งขยะแยกประเภทหรือยัง มีการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางหรือยัง เจ้าหน้าที่ขนได้ตรงตามที่แยกไว้หรือยังทุกส่วนเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ การใช้ไฟฟ้า เราประหยัดพอหรือยัง ปิดไฟเมื่อหมดความจำเป็น ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เมื่อไม่ใช้ หรือหลอดไฟทุกหลอด อีกอย่างหนึ่งก็การประหยัดพลังงานน้ำมัน แก๊ส ที่เราใช้กันอย่าง บางที่ก็ไม่ระมัดระวัง ราคาถูก วันหน้าราคาขึ้นจะทำอย่างไร รัฐบาลก็ไม่สามารถจะอุดหนุนได้อีกแล้ว ในวันต่อไปถ้าหากว่าท่านช่วยกันทำอย่างนี้ แล้วก็ปลูกฝัง ลูกหลานให้ทำเป็นนิสัย ทำในสิ่งที่ถูกต้องเหล่านี้ ด้วยเหตุ ด้วยผล ก็จะทำให้เกิดผลดีในทุกด้านนะครับ ไม่แต่เพียงการประหยัดเท่านั้น รวมความไปถึงการสร้างจิตสำนึก และเกิดความร่วมมือกับสังคม กับรัฐบาล กับชาวโลกในการที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดี เรื่องถุงพลาสติกขอให้ทุกคนถือเป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนควรช่วยกันรณรงค์ตั้งแต่บัดนี้ไปเลย ให้ใช้ถุงผ้า นำถุงผ้าไปซื้อของด้วย มันมีหลายชนิด ชนิดที่กันน้ำได้ ภายในก็บุเป็นอะไรที่กันน้ำได้ ที่มันทำลายได้ง่ายก็ขอให้นำติดไปแล้วกัน จะได้ลดใช้ถุงพลาสติก อีกหน่อยห้าง ร้านค้า อาจจะต้องคิดราคาถุงพลาสติกด้วย เพราะฉะนั้นมันจะส่งเสริมกันทุกมิติ สำคัญอยู่ที่ประชาชน

เรื่องที่ 2 เรื่องมาตรา 44 มีคนพูดกันมากมาย วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งดีและไม่ดี ตลอดจนคำสั่ง คสช.ต่างๆ นั้น อยากให้เข้าใจตรงกันว่า มันเป็นเพียงกฎหมายชนิดหนึ่ง เหมือนกับกฎหมายอื่นๆ ที่ออกมาเพื่อจะปลดล็อกอุปสรรคด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่ไม่ทันสมัย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือให้การดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งระงับข้อขัดแย้งในกฎหมายหลายฉบับที่อาจจะมีผลต่อการทำงานที่เป็นการแก้ไขเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศ การเดินหน้าประเทศมีความต่อเนื่อง และต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วย

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ต้องใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคง เพราะว่ามีหลายคน หลายประเภท หลายพวกที่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามกฎหมายปกติ กฎหมายอะไรก็ไม่ทำสักอย่าง ผมไม่ทราบจะทำยังไงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มาโทษมาตรา 44 อย่างโน้นอย่างนี้นะครับ ถ้าท่านไม่ทำความผิด มาตราไหนก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนั่นแหละ ตัวอย่างที่เราใช้ไปแล้วงานที่คั่งค้างในอดีต เช่น การขอตั้งโรงงานกว่า 4,000 ราย การขอใบอนุญาตจาก อย. กว่า 10,000 ราย การขอจดสิทธิบัตรของต่างประเทศที่ยื่นขอมา 20 กว่าปีแล้ว กว่า 12,000 ราย เหล่านี้เป็นต้น ค้างคามาได้ยังไง รัฐบาลนี้เข้ามาก็เข้าไปแก้ไขในทันทีที่ทำได้ เพราะว่ามันเสียโอกาส เสียขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้การประกอบธุรกิจในระดับฐานรากเดินหน้าไปได้ด้วย เพราะมันสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ไปติดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่กำกับดูแลนะครับ ก็จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 มาแก้ไขให้สำเร็จ

ส่วนมาตรการที่ทำให้เกิดความยั่งยืนในเรื่องกฎหมายนี้ ก็คือว่าจะต้องมีการออกเป็นกฎหมายในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม หลังจากที่มีมาตรา 44 ไปแล้ว โดยจะต้องให้มีผลบังคับใช้ในเวลาต่อมาอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้กำลังทยอยผลักดันเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมายทางนิติบัญญัติ อาจจะต้องใช้เวลานานพิจารณากัน 3 วาระ บางทีเป็นเดือน หลายเดือน รัฐบาลนี้ได้ผลักดันกฎหมายทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการแล้วกว่า 500 ฉบับ วันนี้มีผลบังคับใช้เป็น พ.ร.บ.แล้วกว่า 200 ฉบับ ไม่นับรวมการแก้ไขระเบียบกฎ ข้อบังคับอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ประเด็นสำคัญก็คือ เราจะต้องเอากฎหมายที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน กฎหมายที่ทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำ เพราะว่ามีพันธะสัญญาระหว่างประเทศอีกด้วย เรามีความจำเป็นในการที่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน แล้วก็มีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกไปด้วย เช่น การแก้ปัญหา ไซเตส การค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เราทำสำเร็จไปแล้ว รวมทั้ง IUU กำลังคืบหน้า และก็ ICAO ซึ่งมีทิศทางที่ดี ได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศที่มาตรวจก็ชื่นชมนะครับ ในความจริงใจ จริงจัง ความตั้งใจในการทำงาน เจตนารมณ์ของรัฐบาล เราคงต้องช่วยกันทำให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นตามที่เขากำหนดมา ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ปล่อยปละละเลย ไม่กำกับดูแล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการอย่างเดียว การทำงานมันก็มีแต่ปัญหา ติดขัดไปหมด ไม่ทันเหตุการณ์ แล้วก็เท่ากับเราทำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้เลย ปฏิรูปอะไรก็ไม่ได้เลย ติดของเก่า ติดปัญหาเดิมทั้งสิ้น

อีกกรณีหนึ่งก็คือ กรณีธรรมกาย ผมไม่ได้หมายความว่าจะเอามาตรา 44 มารังแกพระ รังแกพุทธศาสนา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะครับ ผมเป็นไทยพุทธครอบครัวผมก็ไทยพุทธ แต่ผมมีหน้าที่ในการดูแลทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกหรอกครับมาตรา 44 เกี่ยวกับเรื่องกรณีนี้เนื่องจากกฎหมายทุกกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับเลยจากคนบางกลุ่มบางพวก ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิด แล้วไม่ยอมรับอำนาจรัฐไม่เคารพไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมปกติ แล้วก็มีการผิดวินัยสงฆ์เข้าไปด้วย

เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรา 44 เพื่อมาดูแลในภาพรวม แล้วเจ้าหน้าที่เขาก็ทำงานลำบาก วันนี้ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาก็เหน็ดเหนื่อย มีการสร้างภาพเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน การรักองค์กรนะครับ ไม่ว่าองค์กรใดก็ตามเป็นสิ่งที่ดี ผมเคารพนะครับ แต่ต้องรักในทางที่ถูก ขจัดคนไม่ดีในองค์กรออกไป โดยให้กระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายตัดสิน บ้านเมืองมีขื่อมีแปไม่มีใครจะสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ คดีความคงต้องเดินหน้าต่อไปทุกคดี สังคมกำลังรอคำตอบอยู่นะครับ ต้องการเห็นความโปร่งใส กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่แล้วบังคับใช้ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องใช้มาตรา 44

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย หลายหน่วยงานเขาก็ไปทำงาน เขามีความเสี่ยงนะครับ เขาเสี่ยงอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ความรุนแรงพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะมีบุคคลที่ 3 หรือ 4 อะไรก็แล้วแต่เข้ามา เพราะฉะนั้นถ้ามีรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขาก็มีครอบครัว มีลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบ บุคคลที่รักของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขาถูกกระทบกระทั่ง จนท้ายที่สุดก็บานปลายไปสู่การใช้กำลังกัน แล้วจะทำอย่างไรครับ ไม่เห็นใจเขาหรือเจ้าหน้าที่ พอเขาไม่ทำก็ไปว่าเขา พอเขาทำก็ไม่ได้อีก แล้วจะอยู่กันยังไง

เพราะฉะนั้นผมต้องทำเพื่อให้เจ้าหน้าที่เขามีความมั่นใจในการทำงาน มีความรู้สึกปลอดภัย เพราะว่าถ้าหากเขาประสบอันตรายขึ้นมา ใครรับผิดชอบเขาได้ แล้วลูกเมียใครจะเลี้ยงดูเขา ผมต้องปกป้องดูแลเขาตามสมควร เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนมองเจ้าหน้าที่เป็นจำเลยสังคม เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีอาวุธทั้งสิ้นก็ถูกผลักถูกดันถูกอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด เขาอดทน เพราะผมเห็นรอยยิ้ม ขอบคุณชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคน ไม่ว่าจะตำรวจ ดีเอสไอ ทหาร ข้าราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ พระ ทุกคนที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ยอมร่วมมือ แล้วมีคนหมู่มาก ซึ่งอาศัยแรงศรัทธาของเขามาชักจูง ทำให้ปัญหาแก้ได้ยากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ วันนี้เราไม่อยากใช้ในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมฝูงชน หรือในเรื่องของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ เพราะว่าวันนี้เราพยายามอย่างเต็มที่ๆ จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ ถ้าเรายังสู้กันอยู่แบบนี้ วันหน้าก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ที่คนทั่วๆ ไปเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกไม่ดี เด็กๆ เห็นมันก็เป็นแบบอย่างวันหน้าก็เป็นแบบนี้อีก ทำไมเราไม่หยุดซะล่ะครับ หยุดซะวันนี้ ถ้าหยุดเมื่อไรมอบตัวกันทันทีให้เข้าไปบริหารจัดการให้มันโปร่งใส มาตรา 44 มันก็ยกเลิกได้เมื่อนั้น

เพราะฉะนั้นเรียกร้องมา ขณะเดียวกันก็ยังผิดกฎหมายอยู่ ประเทศไหนเขาทำกันบ้างล่ะครับ เพราะฉะนั้นเราก็พยายามอย่างเต็มที่ๆ จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัยชีวิต และทรัพย์สินของทุกคน มาตรการต่างๆ จะเห็นว่าจากเบาไปหาหนัก ผ่อนหนักผ่อนเบา มีการพูดคุย ไม่ให้บานปลาย ไม่ให้มีการปะทะ คุยแล้วคุยอีกก็ไม่สำเร็จสักที แล้วมีการต่อต้านที่มันไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงาน ไม่อยากให้ภาพต่างๆ เหล่านี้มันออกไปต่างประเทศ สื่อทุกคนก็เห็นนี่ครับว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด แต่ก็พยายามที่จะขยายภาพ ขยายข่าวขยายอะไรไปเรื่อยๆ ท่านคำนึงหรือไม่ครับว่าต่างประเทศเขามองว่ายังไง เขาก็มองกลายเป็นว่าเหมือนเราไปรังแกพระ รังแกพระพุทธศาสนา แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันดีกับประเทศไทยไหม ผมอยากจะถามท่าน ขอให้ชักจูงซิครับให้คนกลับบ้าน ให้มามอบตัวต่อสู้คดี นั่นแหละเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด สื่อต้องช่วยแบบนี้ นี่เขาเรียกว่าจรรยาบรรณไง ไม่ต้องควบคุมกันถ้าแบบนี้ล่ะก็ไม่ต้องใช้มาตร 44 ไม่ต้องมีกฎหมายควบคุมสื่อด้วยซ้ำไป ทำให้ได้สิครับ

ผมอยากให้สติแก่สังคมในวันนี้นะครับ ให้มีความอดทน อดกลั้นอย่างที่สุด เอาอะไรมาเป็นหลักคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ ให้ได้ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ผมไม่อยากใช้มาตรการที่หนักหรือรุนแรง ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ วันนี้กำลังใช้กฎหมายปกติอยู่ด้วยนะครับ กฎหมายมาตรา 44 ตีกรอบเฉยๆน่ะแหละ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ถูกกระทำมากไปเรื่อย ๆนะครับ การที่รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ถูกผลัก ถูกดัน แล้วก็กลายเป็นว่ารังแกพระ รังแกประชาชน ก็ดีเหมือนกันนะ แปลกดีไม่เข้าใจว่าโซเชียลมีเดีย สื่อหลายฉบับพาดพิงโจมตีผม หาผมไปเปลี่ยนศาสนาโน่น จะยึดที่นี่ไปศาสนาโน้นศาสนานี้คิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนเชื่อผมก็จนใจนะ คนที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ คนเขียนนี่สติไม่มีอยู่แล้ว ขอโทษนะ ผมไม่อยากจะว่าเขียนอะไรก็ได้ให้คนปั่นป่วน ให้คนทะเลาะเบาะแว้งกันไปเรื่องไม่รับผิดชอบสักอย่างนะ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจในกฎหมายและก็ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เขาทำงานด้วย เขาได้กลับบ้านไปดูแลลูกเมียเขา รถก็ไม่ติด ทุกคนก็ไม่อันตราย แล้วก็ประชาคมโลกเขาก็เข้าใจเรา

วันนี้ผมก็พยายามสื่อสารไปต่างประเทศด้วย ผ่านกระทรวงต่างประเทศ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็มีคนไม่ดีอยู่ที่พยายามปล่อยข่าวความไม่ดี ความไม่เรียบร้อย การทำงานของรัฐบาลอะไรต่าง ๆ ก็ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าใคร ไม่เลิกซะที รอบบ้านก็ไปทำ ต่างประเทศก็ไปทำ ล๊อบบี้ยิสต์ก็ใช้ เหล่านี้นะ ทุกคนก็ทราบดีทั้งหมดแต่ทำไมถึงยอมรับฟังกันอยู่ สื่อก็ไปขยายความให้อยู่ทุกวัน เหมือนกับทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุก บ้านเมืองไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ ไม่ใช่ว่าใครผิดใครถูก ใครชนะ ใครแพ้ สับสนไปหมด เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เสนอข่าวเหมือนกับเชียร์มวยเชียร์กีฬา วันนี้ใครแพ้ ใครชนะ ไม่มีใครแพ้หรอก แล้วก็ไม่มีใครชนะด้วย ประเทศแพ้ ประชาชนก็เดือดร้อนทุกคนต้องมีสติ ใช้สติปัญญาแยกแยะให้ออกนะครับอย่าให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ เสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ

สื่อออนไลน์เช่นกัน ขอเตือนท่านอาจจะคิดว่าจับไม่ได้ ไม่มีใครตามได้ วันหน้าก็ตามได้เองนะมันมีกฎหมายอยู่แล้ว วันนี้จับไม่ได้ วันหน้าก็จับได้ ผมไม่ได้ขู่ เพราะฉะนั้นวันหน้าอย่ามาปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำ หลักฐานมีทุกอัน ประเทศไทยเราเป็นประเทศพุทธ แล้วก็มีศาสนาอื่นร่วมด้วย ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้นอย่ามาตีกัน

ในเรื่องของการปรองดองนั้น คณะกรรมการ ป.ย.ป. ดำเนินการอยู่ วันนี้ก็มีหลายคนออกมาพูดจาให้เสียหาย ไม่ได้ผลหรอก นักโทษบางคนได้รับการประกันตัวออกมาก็มาข่มขู่ 3 เดือนต้องเห็นผลนะ ถ้าไม่เห็นผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำไมท่านจะปลุกระดมคนมาอีกหรือ ทำให้คนเขาตายเขาเจ็บไปเท่าไรแล้ว ตอนนี้จะทำอีกหรือ แล้วใครจะออกมาให้เขาหรือ อีกพวกก็บอกว่าต้องรีบเลือกตั้งให้ได้ภายในเดือนสิงหาคม ไม่อย่างนั้นก็จะเคลื่อนไหวอีกเป็นนิสิตนักศึกษา ผมถามนี่มันเกิดอะไรขึ้น

เพราะฉะนั้นผมก็ไม่อยากให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มากนักหรอกครับ เป็นคนส่วนน้อย และเป็นความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์สังคม คนไทยทั้งประเทศตัดสินเอาเอง จะยอมไหม จะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า ที่ผมพูดนี่อยากให้มีสติ ใช้เหตุผลนำความคิด เกรงว่ามันจะทำลายบรรยากาศการปรองดองของประเทศ ประชาชนทั้งประเทศคงไม่อยากให้เหตุการณ์ปี 53 และปี 57 เกิดขึ้นอีกนะครับอย่างแน่นอน ทำไมไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้ยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมได้อีกต่อไป มีเงินใช้ มีหน้ามีตามีคนเคารพนับถือทั้งที่มีความผิดมากมาย และไม่ยอมรับความผิด พูดจาโกหก บิดเบือนทุกวันอยู่นี่ สื่อก็ไปสัมภาษณ์อยู่ทุกวันๆ แพร่ภาพ คำพูดให้ประชาชนสับสนไปหมด ทำลายความสงบสุข ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ หลายคนมีคดีแล้วตัดสินแล้วประกันตัว อาจจะยังไม่ตัดสิน ก็ออกมาพูดจาโวยวาย แต่คดีใดที่ตัวเองถูกยกฟ้อง หรือไม่ถูกลงโทษ ดีใจ ไม่เห็นพูดเลยว่ากฎหมายมันยุติธรรม แต่คดีที่ตัวเองผิดบอกไม่ยุติธรรม 2 มาตรฐาน ตัวเองแหละ 2 มาตรฐาน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง อย่าสร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดกันอีกเลย น่าจะพอได้แล้ว อย่าไปขยายความให้เขา เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง นึกถึงคนที่สูญเสียบ้าง ว่าถ้าเป็นญาติพี่น้องตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไร ขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีของบ้านเมือง เดินหน้าไปสู่ความปรองดองทุกเรื่อง เฉพาะในส่วนที่เป็นกติกา อย่าไปคิดเฉพาะที่ได้ประโยชน์ พอเสียประโยชน์แล้วไม่ได้ ฉะนั้นมันต้องมีทั้งได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ ไปด้วยกัน เพราะว่ามันกำลังปฏิรูปกันอยู่

เรื่องเศรษฐกิจฐานราก สำคัญคือด้านเกษตรกรรม การบริหารจัดการน้ำ อาชีพอิสระ SMEs ,Start-up เหล่านี้ต้องดูแลทั้งหมด ผมเห็นการเสนอข่าวในโทรทัศน์หลายช่องสื่อหนังสือพิมพ์ดีๆ หลายฉบับทั้งหน้าในส่วนใหญ่เป็นหน้าในๆ นะ อ่านกันซะหน่อย ก็มีรายงานความก้าวหน้า การพัฒนาตนเองให้มีรายได้ดีขึ้น จากคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง ของปราชญ์ชาวบ้านบ้าง ของเกษตรกรที่จบปริญญาความรู้สูงๆ เขาก็กลับมาทำการเกษตร เป็น Smart Farmer หรือผู้นำท้องถิ่นทางธรรมชาติมีอยู่มากมาย เขาทำหมดแล้ว ทดลองทำ ลองผิดลองถูก ปรับปรุงแก้ไขแล้วเป็นสูตรสำเร็จแล้ว ก็ไปเอาเขามาดูเป็นตัวอย่างสิ มันสำเร็จไปแล้ว มีรายได้ที่เพียงพอเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่สิบเท่ากี่ร้อยเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามศาสตร์พระราชา แต่มันก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งไม่น้อยเลยที่ไม่สนใจ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเชื่อฟังคำพูดที่ชักจูงว่า เออวันหน้าเดี๋ยวรัฐบาลจะเข้ามาอย่างนี้อย่างนั้น แล้วก็จะแก้ไขจะให้สตางค์ให้เงินอย่าไปเปลี่ยนแปลงเลย ลำบากเปล่าๆ ยังมีอย่างนี้อยู่อีก

แล้วผมถามว่าที่ผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปีแล้วมันพัฒนาได้ไหม หนี้สินหมดหรือยัง ก็ยังไม่หมด เพราะฉะนั้นไม่อยากไปคิดแล้วไปทำแบบเดิมๆ ถ้าอ้างว่าไม่มีความรู้ ทำไม่เป็น ไม่เคยทำทำแบบเดิมๆ ก็ไปถามเจ้าหน้าที่เขา ถามพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ตัวเองที่เขาทำสำเร็จนะ อย่ามารอเรียกร้องความช่วยเหลือของรัฐ เมื่อเสียหายเลย คือปลูกแบบเดิมก็เสียหายแบบเดิม แล้วก็เรียกร้องจากรัฐแบบเดิม มันก็วนอยู่แค่นั้นแหละ แล้วหนี้สินก็อยู่ที่เดิม ลองปรับเปลี่ยนดูบ้าง อย่าไปฟังคนนักการเมืองใด ๆ ที่ไม่ดี คนดี ๆ เยอะแยะไปฟังคนดีๆเขาพูด อย่าไปฟังที่เขาพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองต่อไปเลย ที่ผ่านมาอยากจะรู้ว่าที่พูดๆ มาแล้วทั้งหมด นักการเมืองที่ไม่ดีอันไหนดีๆ ผมไม่ไปแตะต้องท่าน ที่ไม่ดีก่อนปี 2557 ท่านทำอะไรสำเร็จมาบ้างที่มันไม่เสียหาย ที่มันสร้างความเข้มแข็ง ที่มันเพิ่มประสิทธิภาพประเทศนะมีไหม

วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทั้งเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม อากาศ น้ำมีความเปลี่ยนแปลงทุกมิติ เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของเราด้วย ถ้าเราหวังจะเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้า ถ้าวันนี้ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนวันหน้ารอก่อนเดี๋ยววันหน้าค่อยทำ ไม่ทันการณ์หรอกครับ ไม่ทันเวลาคนอื่นเขารวยไปแล้ว คนอื่นเขาหมดหนี้ไปแล้ว ท่านก็ยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ลูกหลานทำไง ไม่มีที่ทำกิน รัฐบาลหน้ามาไม่มีให้แล้วเพราะที่ดินก็หมดไปแล้ว ทุกคนจะต้องพัฒนาตนเอง อย่าให้มันถึงกับสูญเสียที่ดินทำกินของตัวเองไปเลย หนี้สินล้นพ้นตัว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจะทำยังไง รัฐบาลนี้พยายามทำทุกอย่างเอาทุกปัญหามาจะเห็นว่ามันเยอะมาก ตอนแรกก็กะว่าจะเอาเรื่องสำคัญทำก่อน ปรากฎว่าทำไปทำมามันสำคัญทุกอันเลย เพราะมันพันกันทั้งหมดไง ก็เพียงแต่ว่าขอร้องก็แล้วกัน ขอให้เชื่อฟัง ปรับตัว อาศัยเวลา ต้องอดทนกันหน่อยเพราะเราอดทนมานานแล้วเป็นสิบๆปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นคำพูดต่างๆ ที่เหมือนเลี้ยงไข้ ไม่จริงใจอย่าไปเชื่อมากนัก อย่าไปคล้อยเพราะที่ผ่านมาทุกคนก็อยู่ในอำนาจกันทั้งสิ้น ทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกันบ้างหรือเปล่า ส่วนที่ดีก็มีเยอะส่วนไม่ดีก็เยอะ ฉะนั้นก็พยายามลดลงให้เหลือแต่ส่วนที่ดีแล้วกัน

เราต้องส่งเสริมให้เข้มแข็งทุกระดับ สนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้หรอก เพราะคนมันมีหลายประเภทด้วยกัน หลายอาชีพด้วยกันต้องมีการพัฒนาตนเองเข้มแข็งมีขีดความสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนอย่าไปรอเงินช่วยเหลือ บางครั้งนี่กฎหมายก็ไม่ให้นะ ให้ไม่ได้แต่ไปให้กันมันก็ผิดกฎหมายไง เพราะฉะนั้นอย่าไปแก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ปัญหายังอยู่ที่เดิม งบประมาณไม่คุ้มค่าประชาชนได้ประโยชน์บางกลุ่ม งบประมาณมหาศาล มีการทุจริต เหล่านี้ผมเพียงยกตัวอย่างให้ฟัง ผมต้องการให้ทุกคนตระหนักว่าไม่ว่าจะรัฐบาลนี้ รัฐบาลไหนก็จะต้องเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของฐานเสียง หรือรัฐบาลของคนที่ลงคะแนนให้ เท่านั้น รัฐบาลวันนี้กำลังแก้ปัญหาทุกอย่างหมด มันจะได้มากได้น้อยก็ต้องทำกันต่อไป

เรื่องหนี้นอกระบบผมเห็นพูดกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีรัฐบาลนี้จะทำให้มันจริงจังขึ้น ผลที่ออกมาขณะนี้ก็มีมติใน ครม.ออกมาแล้ว ก็ต้องมีวิธีการแก้ปัญหาที่มันถูกต้องตามระบบการเงินการคลัง ตามกฎหมายนะ ก็ขอให้ติดตาม อันนี้ก็ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครทำนี่ครับ วันนี้ก็ยังติติงอยู่เลย เหมือนพร้อมเพย์เหมือนขึ้นบัญชี วันนี้หายไปไหนแล้ว ที่มาติติงอยู่น่ะ พอทำสำเร็จแล้วก็เงียบ คือคนพวกนี้น่าเป็นห่วง ประเทศชาติถ้ามีคนพวกนี้อยู่เยอะๆ น่าเป็นห่วง

ฉะนั้นรัฐบาลนี้วันนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการประชารัฐ ทั้ง 12 คณะ ผมพูดไปหลายครั้งแล้วเพื่อจะสร้างประสิทธิภาพในการทำงานภาครัฐ รัฐทำคนเดียวไม่ได้ต้องเชื่อมโยงภาคประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่รัฐบาลจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใครเหล่านั้น วันนี้ก็ทำทุกอย่างเราต้องไปแก้ไขในวงจรธุรกิจ ซึ่งมันก็เหมือนวัฏจักรทางธรรมชาติ มันมีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พืชพรรณนานาชนิดพึ่งพาอาศัยกันมันอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มันเสียสมดุล วันนี้นักธุรกิจเหล่านั้นเขาก็มีเจตนาดีมาช่วยตั้งใข่ เรียกได้ว่าตั้งไข่ ให้กับให้บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจำกัด ธุรกิจเขาคือธุรกิจของเขาถ้าถูกกฎหมายก็คือถูกกฎหมายผิดกฎหมายก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาก็มาตั้งไข่ให้เราในภาคประชาชน ในทุกจังหวัดให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพัฒนาความรู้ ให้เงินทุนดูแลการศึกษา ฝึกสอนการทำบัญชีเหล่านี้เขาก็มาช่วยอยู่ในส่วนราชการต่างๆทั้งสิ้น 12 คณะ ตั้งหลายสิบบริษัท เราต้องการสร้างความยั่งยืน

อีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดทำโครงการใดๆ ก็ตามของรัฐบาลที่อนุมัติโดย ครม.นั้น เราจำเป็นต้องคิดให้ครบวงจร ต้องทำแผนอย่างมียุทธศาสตร์ว่าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไหน เราจะพัฒนาประเทศไปอย่างไร 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี เพราะฉะนั้นโครงการเหล่านั้นมันต้องสอดคล้องอย่างนั้น และให้เกิดการบูรณาการและต่อเนื่อง ถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วมภาคใต้ก็เห็นอยู่แล้วถ้าเราแก้ไม่ได้ การระบายน้ำไม่ได้ เครื่องกีดขวางยังขวางทางน้ำอยู่ บ้านเรือน บ้านจัดสรรสถานที่อะไรต่างๆ ขวางไว้ทั้งหมด แล้วจะแก้ได้ไหม เพราะฉะนั้นวันนี้ผมได้สั่งการไป จำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรม อาจจะต้องมีคนเดือดร้อนบ้าง แต่เดือดร้อนรัฐบาลก็ต้องดูแล ก็ขอให้อย่าดื้อ ถ้าดื้ออีกปีหน้าก็โดนอีกแล้วเราจะต้องเสียเงินไปอีกเท่าไหร่ ท่านจะต้องเดือดร้อนไปอีกเท่าไหร่ หารือกัน ปรึกษากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้ที่มันเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ขอบคุณประชาชนทุกคน ที่มีส่วนร่วมในการสละเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบภาคใต้นะครับ วันนี้มียอดรวมประมาณ 700 กว่าล้าน ก็เอาไปทำเรื่องซ่อมบ้าน เป็นหลักไปก่อน ที่เหลือเดี๋ยวก็ค่อยๆ ทยอยไปในกิจกรรมอื่น ๆ นอกนั้นก็เป็นงบประมาณของรัฐอยู่แล้ว

เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง มันจะต้องแก้ทั้งระบบแก้ทั้งวงจร อันแรกคือ ต้นทาง แก้ไขการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ในส่วนที่ผิดกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม บางส่วนก็จะต้องนำมาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินในป่าเสื่อมโทรมไปแล้วให้กับเกษตรกร แต่ไม่ให้เป็นเจ้าของให้ทำกินเฉยๆ สำหรับผู้มีรายได้น้อยให้ใช้ประโยชน์จากป่า และอนุรักษ์ป่าและก็ปลูกป่าไปด้วย ป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจทำไป

อันที่ 2 ตรงกลางทาง คือการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั่วประเทศ 25 ลุ่มน้ำทั้งหมด ทั้งในระบบชลประทาน รอบระบบชลประทาน แม่น้ำ ลำคลองสาขา รวมทั้งการขุดลอกคูคลอง การกำจัดผักตบชวา ซึ่งยังไม่สำเร็จ 100% สำเร็จไปมากแต่ไม่ 100% ช่วยกันให้ผมหน่อย ไม่อย่างนั้นก็เสียเงินเสียทองมากมาย เดี๋ยวก็เอาไปโทษกันว่าทุจริตอีก แล้วอีกอันก็คือการป้องกันการพังทลายหน้าดิน ใช้หญ้าแฝก ปลูกแฝก หญ้าธรรมดาก็ช่วยได้บางที ที่มันไม่ลาดชันมากๆ ก็ปลูกหญ้าไว้ อย่างน้อยหญ้าก็คลุมดิน พืชอื่นๆ อีกเยอะแยะไป ศาสตร์พระราชาดีอยู่แล้ว พระราชทานไว้

ปลายทางนี่ประเด็นสำคัญ ต้องจัดหาแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร เพื่ออุปโภคบริโภค ป้องกันภัยแล้ง เราต้องทำทั้งแก้มลิง-ขนมครก ส่วนใหญ่จะมีปัญหานอกเขตชลประทาน ในชลประทานถ้ามีน้ำ ทำได้ เพราะมีระบบส่งน้ำ แต่ถ้ามันนอกเขตชลประทาน คราวนี้ล่ะเดือดร้อน มันไม่มีแหล่งเก็บน้ำ เราต้องทำเพิ่มขึ้น ทำเสร็จแล้วต้องมีระบบกระจายน้ำไปอีก ขุดทาง คู คลองส่งน้ำ ให้มันถึงทั่วทุกพื้นที่ ถึงหมู่บ้าน หัวไร่ปลายนา อาจจะต้องมีการขุดของตัวเองบ้าง ตามบ้านคน บ้านเกษตรกร ต้องมีสระน้ำของตัวเองไง ถ้าอยู่นอกเขตชลประทาน เก็บกักน้ำฝนไว้เยอะๆ ไม่งั้นระบายน้ำทิ้งหมด ต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมดนะ เรากำลังทำทุกอย่างในการแก้ปัญหา เป็นชิ้นๆ ก็มี ปัญหาเชิงโครงสร้างก็มี ปัญหาที่ต้องบูรณาการก็มี ใช้ทรัพยากรและงบประมาณจำนวนมาก ใช้เวลาอีกเยอะแยะ ถ้าทำกันบ้างแล้วก็ไม่ต้องลำบากอย่างวันนี้หรอก เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำอีกหรือ เราจะไม่ช่วยกันทำวันนี้ แล้วจะไปลำบากอีก 10-20 ปีข้างหน้า ผมก็จนใจนะ เพราะฉะนั้นช่วงสองปีนี้เราพยายามทำอย่างเต็มที่

เรื่องรถไฟฟ้า จำเป็นต้องยกตัวอย่างนะครับ ก็เหมือนกัน ส่วนราชการ ผมสอบถามแล้วล่ะ ได้มีการจัดทำแผนแม่บทไป จัดลำดับความเร่งด่วนไปแล้วว่าจะทำสายไหนก่อน เส้นนี้ก่อน เส้นนั้นก่อน ให้มันสมบูรณ์ แล้วเส้นนี้เป็นเส้นต่อขยาย ปรากฏว่าไปเอาเส้นที่ควรจะทำทีหลังมาทำก่อน เออ แปลกดีเหมือนกันนะ มันอาจจะมีผลประโยชน์ตรงไหน ผมไม่ทราบ อย่างเช่นรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีน้ำเงินนี่ล่ะ มันมีช่องว่าง 1 กิโลเมตร จริงๆ ผมถามแล้ว มันควรจะทำสายสีน้ำเงินก่อน ทั้ง 1 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายที่ว่านี้ มาทำเส้นนี้ก่อน ถึงไปทำสายสีม่วงต่อทีหลัง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไปทำสายสีม่วงขึ้นมาก่อน แล้วก็มาเว้นช่องไว้ 1 กิโลเมตร แล้วก็ต้องไปหาวิธีการทำ 1 กิโลเมตร กับส่วนต่อขยายให้ได้ ผมก็เหนื่อยใจเรื่องพวกนี้จริงๆ มันสร้างปัญหาให้กับประชาชนในการเดินทาง รัฐบาลนี้แก้ทุกอย่าง ก็ขอให้ไว้ใจกัน อย่าหาว่าไปเอื้อประโยชน์คนโน้นคนนี้เลย ทุกอย่างมันจะต้องชัดเจนขึ้น โครงการรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ผมก็พยายามจะทำให้ดีที่สุ เร่งรัด ดำเนินการให้ได้โดยเร็ว ปัญหามันมีเยอะแยะไปหมด อุปสรรค

การจราจรมันติดขัดมาก การก่อสร้างวันนี้มีปัญหาเพราะว่ามันสร้างหลายสาย แล้วถ้าไม่สร้างได้ไหมล่ะ มันก็ต้องสร้าง แต่จะต้องช่วยกันยังไงล่ะ มันทำความเดือดร้อน ต้องอดทน เราจะได้มีระบบขนส่งที่สมบูรณ์ การจราจรในเขตเมืองก็ดีขึ้น ไม่งั้นรถไฟก็ต้องสร้าง รถไฟฟ้าก็ทำ รถเมล์ก็ต้องทำใหม่ อุโมงค์ก็ต้องทำ สะพานข้ามแยกก็ต้องทำ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำที่มันเป็นรูปธรรมมากนัก มันก็เลยเกิดปัญหาประดังประเดมาเวลานี้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนใจเย็น ให้อภัย มีน้ำใจ ใช้รถใช้ถนนอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เป็นสยามเมืองยิ้ม อดทนบ้างนะ

ในเรื่องเศรษฐกิจนั้น อยากให้ดูตัวเลขสภาพัฒน์ด้วย ทั้งโลกเขาใช้ตัวเลขเหล่านี้มาพิจารณา อ้างอิงกัน อย่ามามองว่ารัฐบาลดูแต่ตัวเลขแบบนี้ เท่านี้ ไม่ใช่ ดูทั้งของจริง ข้อเท็จจริงจากประชาชนด้วย ทุกระดับนะ เพราะฉะนั้น จีดีพีในปี 60 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ถึง 3.0-4.0 ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่าเพิ่งไปดูถูกกันเลย ถ้ามันดีขึ้น ก็ดีไง แล้วท่านจะดูถูกให้มันต่ำกว่านี้ทำไมล่ะ ปี 59 มันก็ดีขึ้นไง 3.2 มันก็ดีกว่าปีก่อน 2.8 มันไม่ดีขึ้นเหรอครับ ในเมื่อตัวเลขข้างบนมันดี ข้างล่างมันก็มีผลกระทบมาถึงข้างล่างด้วย แต่มันจะถึงทุกคนหรือเปล่า มันก็ต้องมีอย่างอื่นมาเสริมด้วย ต้องคิดให้มันมีระบบแบบนี้ อย่าไปฟังคนที่พูดบิดเบือนอยู่ทุกวันนี้

เราไม่เคยละเลยเศรษฐกิจระบบฐานราก วันนี้ผมก็คิดถึงคนขายของริมถนน จะทำอย่างไร จะจัดระเบียบเขาได้ยังไง ที่เขาไม่เดือดร้อน คนบริโภค คนกินอาหารจะทำยังไง เพราะว่าต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันมา แต่ทำยังไงมันถึงจะเป็นระเบียบ ถ้าท่านร่วมมือกัน มันก็พอจะอยู่กันได้ แต่ถ้าไม่ร่วมมืออะไรกันเลย มันก็ไปกันหมด กฎหมายมันก็คือกฎหมายนั่นแหละ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทราบถึงความห่วงใย จากการทำงานของรัฐบาลมาตรการต่างๆ คิดทุกอันนะครับ คิดละเอียดยิบเลยทุกเรื่อง มันถึงยากไง ถ้าคิดง่ายๆ มันไม่ยาก สั่งลงไปโครมๆ ก็เสร็จ แต่มันเสร็จแบบมีปัญหาหมด เราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเข้มแข็ง พัฒนาความรู้ ฝีมือแรงงาน มาตรฐานแรงงาน สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจบน กลาง ล่างเข้าด้วยกันให้ได้

เพราะฉะนั้นมันถึงจะไปด้วยกันได้ ลดหนี้ประชาชน เอสเอ็มอีเข้มแข็ง แก้ไขหนี้นอกระบบ พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนภาครัฐ มียุทธศาสตร์ต่อเนื่องเชื่อมโยง ไม่ทำแบบปะผุ ปะตรงนี้แล้วก็ผุตรงโน้นอีก วันหน้าก็จะเป็นอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราต้องเชื่อมั่นกันเองซะก่อน ถ้าเรามัวแต่พูดกันไปกันมา ว่ากันเอง แล้วความมั่นใจมันจะเกิดไหมล่ะ คนใช้เงินมันก็ไม่กล้าใช้ คนลงทุนก็ไม่กล้ามาลงทุน เศรษฐกิจก็ไม่เจริญเติบโต แล้วท่านจะได้อะไร นอกจากได้คำพูดของคนที่เขาพูดบิดเบือนอยู่นั่นแหละ แล้วไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้ประเทศชาติเลย

เตือนตัวเองเสมอนะครับ ว่าเราจะต้องทำให้สำเร็จ ด้วยศรัทธา ด้วยความร่วมมือ ทุกคน ทุกธุรกิจ มันมีหน้าที่ มีความสำคัญในวงจรเศรษฐกิจทั้งสิ้น โอกาสมีทุกคนนะครับ ขยันขันแข็ง พัฒนาตนเองเสมอ อยู่เฉยๆ เรียกร้องอย่างเดียว โอกาสมันก็เลยผ่านไป โอกาสก็หมดไปนะ

เรื่องที่ 5. เรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ วันนี้มีคณะกรรมการอยู่แล้วถือเป็นวาระแห่งชาติด้วย ทำมาต่อเนื่อง วันนี้ก็มีปัญหาอีกมากมาย ยิ่งทำก็ยิ่งเจอ ยิ่งทำก็ยิ่งพบ ไม่ได้หมายความว่าพบการทุจริตเยอะขึ้น อะไรทำนองนี้นะ เพียงแต่พบว่าระบบมันยังมีปัญหาอยู่ การตรวจสอบทุจริตนั้นตรวจสอบไป เจอก็จับ เจอก็ลงโทษ ถ้าทำไม่ได้ก็ทำต่อไป มันไม่มีอะไรที่ทำได้เร็ว วันนี้ พรุ่งนี้หรอกครับ ต้องใช้หลายๆ กลไกด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระบบ

วันนี้ผมก็มาคิดดู ปรึกษากับท่านรองนายกรัฐมนตรี และก็ฝ่ายกฎหมายดูว่าจะทำยังไงให้ระบบมันดีขึ้น สามารถที่จะตรวจสอบได้ สามารถที่จะป้องกันการทุจริตได้ ในการทำโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เราก็มี ป.ย.ป. อยู่แล้วล่ะ แล้วก็มี บยศ. คือบริหารเชิงยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนที่มันติดขัด แล้วก็ผลักดันกฎหมายเชิงรุก เราก็ป้องกันได้พอสมควร อุดช่องว่างได้พอสมควร

แต่ปัญหาอีกอันหนึ่งที่เราเจอกันมานี้ ก็คือการทุจริตในระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งหลายอย่างมันทำถูกทั้งหมด แต่ที่ผิดมันผิดนอกระบบ มันไม่ผิดก่อนเข้ามาในกระบวนการ เช่น การสมยอมราคา การฮั้วประมูล ราคากลางที่ไม่เป็นมาตรฐาน การกำหนด TOR ที่ไม่ชัดเจน ล็อกสเปก หรือการจัดซื้อผ่านตัวแทนจำหน่าย เหล่านี้เป็นต้น

2 ปีกว่าที่ผ่านมา ระบบเหล่านี้ได้แก้ไขไปตามลำดับ ได้มีการพัฒนาระบบการจัดซื้อภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) มีแนวทางการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ทำให้เราสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ราว 70,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา อย่าหาว่าเราไม่ได้แก้ไข้นะ นี่ได้เงินคืนมา 7 หมื่นกว่าล้าน ได้มีการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (IP) 35 โครงการ ประหยัดงบประมาณได้กว่า 2,000 ล้านบาท และได้กำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ ที่เรียกว่า CoST ระบบของประเทศอังกฤษ เข้ามาใช้ด้วย เพื่อเกิดความโปร่งใส ในทุกขั้นตอน ปัจจุบันมี 7 โครงการ วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท รวมทั้งมีการผลักดันพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ เพื่อจะให้มีผลบังคับใช้ต่อไปด้วย

ในอนาคตอันใกล้นี้ผมจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม สำหรับในเรื่องของการเสนอราคา ไม่ว่าจะเป็นแบบ Local Bidding หรือ International Bidding ให้มีความชัดเจนขึ้น เช่น โครงการก่อสร้างที่สูงกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ผมจะแต่งตั้งซูเปอร์บอร์ด เป็นคณะกรรมการกลางเพื่อจะกำกับดูแลในเรื่องนี้ ให้มีการสอบทานกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดที่ทำแล้วยังไม่จบ จะต้องเข้าไปตรวจสอบ อันที่จะทำใหม่ก็ต้องเข้าไปดูแลได้ ทั้งราคากลาง งานก่อสร้าง ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจด้วย อีกชั้นหนึ่งในทุกขั้นตอนที่มีข้อสงสัย ถ้ามันสงสัยตรงไหนก็แก้ไขตรงนั้น ถ้ามันผิด ทุจริต ก็ส่งดำเนินคดีไป ไม่อย่างนั้นก็ติดไปหมดแหละ ทำเสร็จไปแล้วก็ทุจริต แล้วก็หาหลักฐานไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมก็คิดแล้วคิดอีก ก็หารือร่วมกันกับท่านรองนายกรัฐมนตรี ทั้งฝ่ายกฎหมายด้วย อะไรด้วย และหลายๆ ท่านก็ได้คำตอบมาว่าเราต้องปรับปรุงตรงนี้ ซึ่งจะต้องประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรวิชาชีพ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผมก็ได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความในคดีทุจริต โดยให้เริ่มนับตั้งแต่เมื่อปรากฏหลักฐานการทุจริต ไม่ใช่นับจากวันที่กระทำผิด เป็นต้น เหล่านี้นะครับก็ไปดูซิว่าทำได้ไหม

สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะบอกว่า วันนี้เรากำลังทำในสิ่งที่ยากร่วมกันอยู่ บางอย่างเราอาจจะไม่เคยทำมาก่อน แต่หากเราประพฤติโดยชอบ ประพฤติโดยธรรม ประพฤติโดยชอบประกอบโดยธรรม แล้วก็วิญญูชนยอมรับแล้ว ผมก็อยากเสนอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ สมกับที่ทุกคนมุ่งหวังตั้งใจ เช่น ทีมนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยามหิดล ก็มีความตั้งใจสร้างประวัติศาสตร์ในการจัดทำกิจกรรม 1 ล้าน 5 แสนก้าววิ่งเพื่อชีวิต เชียงใหม่-ศิริราช เหมือนตูน ที่ประจวบคีรีขันธ์ อันนี้เป็นการกุศลระยะทางรวมประมาณ 750 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 11-17 มีนาคมนี้

วัตถุประสงค์ที่น่าชื่นชมก็คือ หาเงินสมทบทุนในการก่อสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา ซึ่งจะเป็นอาคารหลังสุดท้ายของโรงพยาบาลศิริราช ที่ได้รับพระราชทานนามจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อชีวิตที่ดี มีความเท่าเทียมในการรักษาพยาบาลของประชาชนชาวไทย ตามพระราชปณิธานของพระองค์

นอกจากนั้น เป็นการรณรงค์ให้คนออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถเข้าร่วมกิจกรรมวิ่งการกุศลดังกล่าวตามกำลังกายของแต่ละท่าน ระมัดระวังตัวเองด้วย สุขภาพ รู้อยู่แล้ว ดีแค่ไหน อย่างไร อย่าไปฝืน แล้วก็รถติดหรืออะไรต่างๆ ก็เห็นใจกันบ้างก็แล้วกัน เพราะเขาทำการกุศล ส่วนการบริจาคเงินนั้น สามารถติดตามรายละเอียดได้จากด้านล่างของจอนี้

“ร่วมบริจาคได้ 3 ช่องทาง
1) กด *984*100# แล้วกดโทร.ออก บริจาคครั้งละ 100 บาท
2) ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 016-4-42301-9 สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา (หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า)
3) ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 016-4-37544-4 ระบุ : กองทุน 0003738 (หักลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า)”

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เริ่มสัปดาห์หน้าเรามาร่วมมือกันทำสิ่งดีๆ ทำความดีร่วมกัน ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์ แข็งแรง ร่วมกันจรรโลงศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เดินหน้าประเทศไทยของเราให้เจริญเติบโตก้าวหน้าด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”
กำลังโหลดความคิดเห็น