เมืองไทย 360 องศา
คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กล่าวถึงการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อจับกุม “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ใช้เวลามากว่าสัปดาห์แล้ว ว่า “จะกี่สัปดาห์ก็ต้องทำ ผ่านไป 1 ปี ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ เราลดปัญหาไม่ให้เกิดความรุนแรง ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย
แต่เราจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง กำลังดำเนินการอยู่
“กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ถ้าเราไม่ใช้กฎหมายจะทำงานต่อไปไม่ได้ และหากยังหาตัวพระธัมมชโยไม่ได้ เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ ถ้าชัดเจนว่าตรวจค้นทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เจอตัวพระธัมมชโยแน่ เราจะเปิดให้เป็นพื้นที่ของประชาชนสามารถเข้าพื้นที่วัดได้เต็มที่
ถามว่า พระจำนวน 14 รูป ที่ได้ออกหมายเรียกไปก่อนหน้านี้ หากไม่มีตามหมายเรียกจะออกหมายจับเลยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ยังไม่ออกหมายจับ เพราะทั้ง 14 รูปเริ่มมีเข้ามารายงานตัวบ้างแล้ว ส่วนการจับกุมประชาชนที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ไปแล้ว 20 คนนั้น เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าผิดต้องดำเนินการ”
ความหมายข้างต้นน่าจะชัดแล้วว่างานนี้ “ยาวไป” นานข้ามสัปดาห์ สองสัปดาห์ หรือนานเป็นเดือนเป็นปี แม้จะเป็นความหมายเปรียบเทียบทำนองว่าถึงต้องใช้เวลานานเป็นปีก็ต้องทำ แต่ในความเป็นจริงคงให้นานแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนแบบไม่คาดหมายขึ้นมาได้ แต่เท่าที่เห็นในเวลานี้เจ้าหน้าที่คงใช้วิธีแบบ “ยืดหยุ่น” แข็งสลับอ่อน จัดการกับ “ธัมมชโย” และเครือข่ายวัดพระธรรมกาย
นั่นคือ แข็งจากการประกาศหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ประกาศให้วัดพระธรรมกาย และพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ “ควบคุมพิเศษ” พร้อมทั้งมีข้อกำหนด 8 ประการเข้มงวด เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาได้แบบไม่จำกัดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน
แน่นอนว่า ที่ผ่านมา ยังมีการขัดขวาง ไม่ให้ความร่วมมือจากพระสงฆ์ และพวกลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย มีการจัดกำลังต่อต้านต่างๆ นานา แต่หากสังเกตในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดามวลชนที่ระดมเข้ามาไม่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นมาก เหมือนกับครั้งก่อนตรงข้ามเมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศดำเนินคดีกับผู้ขัดขวางการปฏิบัติงานก็มีไม่น้อยที่ล่าถอยออกไป สรุปได้ว่า นาทีนี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังสามารถควบคุมจำนวนมวลชนของวัดพระธรรมกายอยู่ในวงจำกัด และพยายามเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด
ที่น่าจับตาก็คือ การที่รัฐใช้วิธีล่อให้ฝ่าย ธัมมชโย “ถลำลึก” เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับ “ใช้ภาพประจาน” ตัวเองออกมาได้เรื่อยๆ เช่น ทำให้เกิดคำถามจากสังคม ว่า ทำไมถึงไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นดีๆ ทำไมต้องขัดขวางไม่ให้ความร่วมมือทุกวิถีทาง “มีอะไรซุกซ่อน” อยู่ข้างในนั้นหรือ
การไม่ยอมให้ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาในวัดพระธรรมกาย เท่ากับว่า คณะสงฆ์ในวัดดังกล่าว “ท้าทายอำนาจรัฐ” ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เพราะทั้งหมายค้นและหมายจับที่ออกมาล้วนเป็น “คำสั่งศาล” ดังนั้น การขัดขืนมาเป็นเวลานาน และท้าทายแบบนี้จึงไม่มีเหตุผล หรือข้ออ้างในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายจากทางการ ยิ่งขัดขืนนานมากเท่าไรโอกาสเดินไปสู่จุดจบแบบที่ไม่มีทางพลิกกลับมาได้เลย
ขณะที่ในฟากฝ่ายรัฐถือว่าไม่มีทางเลือกเช่นเดียวกัน ต้องเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเหมือนกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ย้ำเอาไว้ในตอนต้น ว่า “ต้องบังคับใช้กฎหมายทุกพื้นที่” ซึ่งความหมายแค่นี้ก็สำคัญแล้ว เพราะในเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บังคับใช้กฎหมาย ประกาศใช้คำสั่งกับคนอื่น กรณีอื่นได้ทั่วไป แต่มายกเว้นเอากับ “ธัมมชโย” และวัดพระธรรมกาย มันก็เสียหายในแบบที่เรียกว่า “เครดิตป่นปี้” ยอมไม่ได้เป็นอันขาด
แต่อย่างที่บอกว่ามาถึงตอนนี้ มีแต่คนอยากให้ลุยเข้าไปให้เด็ดขาด เพราะ “ธรรมกาย” มี “ภาพเป็นลบ” อย่างสิ้นเชิง กลายเป็นรัฐอิสระ ท้าทายกฎหมาย ทำตัวเองให้กลายเป็นองค์กรลึกลับที่ไม่ให้ตรวจสอบ ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้กวาดล้าง ดังนั้น แม้ว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่จะเข้าไป “กวาด” ตอนไหนก็ได้ แต่เท่าที่พิจารณาเหมือนกับว่าผ่อนเวลา ให้ความน่าสงสัยทำลายวัดพระธรรมกายด้วยตัวเองไปอีกระยะแล้วค่อยจัดการรวดเดียว
อย่างไรก็ดี เป้าหมายถัดไปนอกเหนือจาก ธัมมชโย ที่เวลานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วว่าจะอยู่ภายในวัดหรือไม่ แต่น่าจะเปิดทางให้องค์กรปกครองสงฆ์เข้ามาบริหารจัดการใหม่แบบยกกระบิ เป็นวัด เป็นสถานที่เปิดอย่างที่ควรจะเป็นมากกว่า ซึ่งทุกอย่างเริ่มชัดขึ้นทุกขณะแล้ว !!