xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กป้อม” เชื่อพระบารมีรัชกาลที่ ๙ ยุติขัดแย้งได้ เตือนแดงผิด กม.ผุดเวทีปรองดองคู่ขนาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (แฟ้มภาพ)
“ประวิตร” เชื่อรัฐบาล-คสช.ยุติความขัดแย้งได้ด้วยพระบารมี “ในหลวง ร.๙” ยันกระบวนการปรอง ดองต้องตอบโจทย์ว่าจะอยู่กันอย่างไรในอนาคต ระบุหัวหน้า คสช.เดินตามโรดแมป เตือน นปช.จับเวทีปรองดองคู่ขนานส่อผิด กม. วอนร่วมมือ รบ.พัฒนาประเทศ แนะสงสัยอะไรให้ไปถาม

วันนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดหลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง รุ่นที่ 1 โดยมี พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการสูงสุด พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพไทย เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวตอนหนึ่งว่า หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคงจะเป็นประโยชน์ในการสร้างพลเมืองและผู้นำที่สอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินมหาทรภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานยุทธศาสตร์พัฒนาในการต่อสู้กับความยากจน ทรงมีวิริยะ อุตสาหะ อุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดปัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหลักการทรงงาน พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทย และเป็นที่ยอมรับของโลก

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคงนอกจากเป็นการสร้างคนให้เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นผู้นำของสังคมยุคใหม่แล้ว ยังเป็นการดำรงสืบทอดทรัพย์สินทางปัญญาและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ในห้วงเวลานี้ ขณะนี้เรามีผู้นำที่เพียงพอแล้ว แต่ผู้นำยังไม่มีความพอเพียง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้พวกเราได้เห็น

พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า โดยในห้วงระยะเวลา เกือบ 3 ปีถือเป็นเวลาที่สำคัญยิ่ง หลังจากที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายุติความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบและเดินไปข้างหน้า ถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านและเราก็ผ่านพ้นมา ถือเป็นความสำคัญ ในรัชกาลที่ ๙ ต่อมาจนถึงรัชกาลที่ ๑๐ จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในเรื่องของงานด้านความมั่นคงที่ทุกคนได้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นทหารตำรวจข้าราชการพลเรือน ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าไปสู่ความมั่นคง

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่เราทำแบบนี้ได้เพราะด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงงานตลอดระยะเวลา 70 ปี เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าความพอเพียงที่พระองค์ท่านได้ทรงทำ ได้ทรงปฏิบัติมานั้น ได้เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกประชาชน และประชาชนได้ให้ความเคารพ เชื่อมั่นในพระบารมีของพระองค์ท่านที่ทำให้ประเทศนี้เจริญรุ่งเรืองมาได้ตลอดระยะเวลา 70 ปี

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ถึงแม้ว่าในห้วงระยะเวลาจะเป็นห้วงที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ปรับทั้ง ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ แต่สิ่งที่เราดำเนินการอยู่ในขณะนี้ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เมื่อ คสช.เข้าไปยุติความขัดแย้งแล้ว ต่อไปเราจะทำอย่างไร นอกจากการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้ นั่นก็คือการสร้างความปรองดองที่จะเกิดขึ้นภายในชาติ แต่การปรองดองไม่ใช่เรากอดคอมานั่งกินข้าวกัน จะต้องเป็นการปรองดองที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และมองไปถึงยุทธศาสตร์ 20 ปีข้างหน้าว่าประเทศจะต้องเดินอย่างไรที่ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป

พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า งานในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม เรื่องความมั่นคงสำคัญที่สุดคือต้องมาก่อน หากไม่มั่นคงทุกอย่างจะเกิดไม่ได้ ทั้งนี้งานทางด้านความมั่นคงไม่ใช่เฉพาะตำรวจและทหาร หรือข้าราชการ แต่ทุกคนต้องร่วมกันทำอย่างไรให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในห้วงการเปลี่ยนผ่านที่มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามโรดแมปที่ชัดเจน และนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีการเปลี่ยนโรดแมปและจะเดินไปตามนี้ และต้องมีการเลือกตั้งต่อไปในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ถาวร และมั่นคงต่อไปในอนาคต จะได้ไม่ต้องมีการแบ่งกลุ่มเป็นฝ่ายสองฝ่ายซึ่งในขณะนี้เราก็พยายามที่จะทำในเรื่องของการปรองดองในทุกส่วน ทำพรรคการเมือง ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ นักวิชาการ ประชาสังคม

“บางคนมองว่าในเรื่องของการปรองดองจะทำได้แน่หรือไม่ ซึ่งก็ยังดีว่าเป็นแนวทางในการให้ทุกฝ่ายมามีส่วนร่วม เราก็ทำใน 2 ระดับ ในระดับบน ในระดับรัฐบาลและระดับกองทัพ ทำคู่ขนานกันไป เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าจะอยู่กันอย่างไร ใน 10 ประเด็นที่ระบุไว้ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปลงนาม จะได้ดูว่าคนไหนที่เข้าใจและคนไหนที่ยังไม่เข้าใจ เช่น หากเกิดการเลือกตั้งแล้วคนที่ได้คะแนนมากให้จัดตั้งรัฐบาล เดี๋ยวก็มีคนออกมาเดินขบวน ก็จะต้องรู้ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นผิดตามข้อตกลงร่วมกัน ทั้งนี้เมื่อรับฟังข้อเสนอจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายทุกภาคส่วนแล้วเราก็จะสรุปแล้วก็ออกทีวีเพื่อประกาศให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป” พล.อ.ประวิตรกล่าว

พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุในเวทีทัศน์สานเสวนาเรื่องปรองดอง หากการปรองดองของรัฐบาลใน 3 เดือนไม่มีความคืบหน้า ทาง นปช.จะเปิดเวทีคู่ขนานว่า อยากฝากไปบอกนายจตุพรด้วยว่าประเทศไทยต้องมีความก้าวหน้า เพราะเราวางแผนงานไว้แล้ว จากการรับฟังข้อเสนอแนะจากตัวแทนพรรค และกลุ่มการเมืองก็จะมีคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ 2 และชุดที่ 3 สรุปความคิดเห็น ดังนั้นนายจตุพรไม่ต้องมาขู่ตนว่าจะมาสร้างม็อบ จะมาต่อต้านอะไรตน เพราะบ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้า ดังนั้นอยากให้นายจตุพรหันมาร่วมมือกันพัฒนา และปฏิรูปประเทศ รวมทั้งช่วยกันวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีกันดีกว่า

“เราไม่ได้บอกว่าเราจะทำเป็นคนเดียว แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพราะทางรัฐบาลเปิดเวทีให้หมดทุกกลุ่มทุกฝ่าย ลงไปถึงระดับข้างล่าง เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ ผมเคยพูดไว้แล้วว่าการปรองดองไม่ใช่มานั่งคุย และกอดคอกัน แล้วจะมาถกเถียงกันจะมีประโยชน์อะไร ดังนั้นอยากให้มาวางมาตรการร่วมกัน เพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า” พล.อ.ประวิตรกล่าว

เมื่อถามย้ำว่า ทางกลุ่ม นปช.จะเปิดเวทีสัมนามปรองดองคู่ขนานเวทีของรัฐจะมีมาตรการอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ตามใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ปลคล็อกกิจกรรมทางการเมือง ดังนั้นอยากให้มาพูดกับตนดีกว่า ถ้านายจตุพรสงสัยอะไรให้มาคุยกับตนได้ จะเอาอย่างไรก็พูดมาเพื่อทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า อย่าไปทำอะไรให้ออกนอกกรอบแล้วจะผิดกฎหมาย ถ้าทำผิดกฎหมายด้านการเมือง ทางเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ เพราะฉะนั้นอย่ามาคอยยุแหย่ให้เกิดความไม่เรียบร้อยในบ้านเมือง

“ผมไม่แอบพบกับใคร ถ้าจะมาพบก็ให้มาแบบเปิดเผย สงสัยอะไรก็ให้มาถามในฐานะที่ผมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งผมได้ทำหนังสือเชิญกลุ่มการเมืองไปหมดแล้วให้มาเสนอแนะแนวทางปรองดอง” รองนายกฯ ประวิตรกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น