xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯเล็งให้ ป.ย.ป.แก้ขัดแย้ง “พลังงาน-โรงไฟฟ้าถ่านหิน” โอดไม่เดินหน้า ชาติเสียหาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” เผย ป.ย.ป. ไม่เพียงแต่สร้างความปรองดองเฉพาะการเมืองเท่านั้น แต่เล็งแก้ขัดแย้งทั้งเรื่องพลังงาน - โรงไฟฟ้าถ่านหิน - โรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะ โอดเพราะเข้าใจไม่ตรงกันเลยไม่เกิดความร่วมมือทำให้ส่งผลเสียต่อชาติ พร้อมน้อมนำพระราชดำรัส “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” เป็นแรงกระตุ้นพลังแผ่นดินจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันเดินหน้าประเทศ

วันที่ 3 ก.พ. เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ มีใจความตอนหนึงว่า ปัจจุบันการทำงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่เรียกว่า ป.ย.ป. นั้น ผมถือว่าเป็นการปรับกระบวนการทำงานของรัฐบาล ร่วมกับแม่น้ำทุกสาย เพื่อให้เป็นผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ทั้งในด้านขั้นตอน กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อให้ 4 งานหลักอันได้แก่ 1. การบริหารราชการ 2. การปฏิรูป 3. ยุทธศาสตร์ชาติ และ 4. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ สามารถเดินหน้าไปได้ และสามารถส่งต่อรัฐบาลต่อไปได้ สิ่งที่รัฐบาล และ คสช. ได้ดำเนินการไปแล้วมีอยู่มากมาย ทั้งที่ทำเสร็จแล้ว หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการ หรือกำลังเริ่มดำเนินการ ซึ่งจำเป็นต้องจัดระบบ ระเบียบ เพื่อเร่งรัดดำเนินการ พร้อมกำหนดความสำคัญเร่งด่วน ขับเคลื่อนด้วยกลไกใหม่ สร้างความสอดคล้องบูรณาการ และติดตาม ประเมินผลได้ ในทุกระดับ อันประกอบด้วย

1. คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ จะขับเคลื่อนงานที่รัฐบาลได้ดำเนินการ และขับเคลื่อนไว้อยู่แล้ว โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน 6 คณะ ทั้งงานที่เป็นฟังก์ชัน และงาน Agenda ก็คือ งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ และงานที่เป็นงานนโยบาย งานเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้โดยเร็ว และสอดคล้องกันในทุกมิติ

2. คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ เป็นการนำวาระปฏิรูปทั้งหมด ทั้งที่มาจากรัฐบาล คสช. สปท. สนช. และ กขป. มากกว่า 200 เรื่อง ซึ่งบางส่วนได้คิดและทำไปแล้ว มาจัดกลุ่ม และกำหนดลำดับความสำคัญเร่งด่วน โดยขั้นต้นในปี 2560 นี้ จะมีทั้งหมด 27 วาระปฏิรูป ที่สำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ส่วนวาระปฏิรูปที่เหลือ กิจกรรมที่เหลือนั้น ก็ต้องจัดลำดับ และดำเนินการตามความสำคัญเร่งด่วน โดยเริ่มดำเนินการคู่ขนานกันไปเพื่อพร้อมที่จะส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่ต่อไป โดยจะมีการจัดทำโรดแมป การทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้การส่งมอบผลการปฏิรูปสู่พี่น้องประชาชน มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

3. คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง จะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อการพูดคุย ทั้งกลุ่มการเมือง นักกฎหมาย นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐกิจและสังคม ประชาสังคม การต่างประเทศ และสื่อมวลชน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ ข้อเสนอที่ตกผลึกในมุมมองของแต่ละกลุ่ม ที่จะพูดจาภาษาเดียวกัน ก่อนที่จะนำทุกข้อเสนอจากการระดมสมองมาพิจารณาแบบบูรณาการกันในคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อให้ได้ข้อเสนอเหล่านั้นมีผลเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ขอให้เข้าใจตรงกันว่า การปรองดองนั้นมิใช่เฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น ได้มีเรื่องอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่ภาครัฐ และภาคประชาชน ยังเข้าใจไม่ตรงกัน จึงไม่เกิดความร่วมมือซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อส่วนรวม และประเทศชาติในอนาคต เนื่องจากเป็นการดำเนินการในวันข้างหน้าทั้งสิ้น เช่น เรื่องพลังงาน โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะ เหล่านี้เป็นต้น

นอกจากนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อน และติดตามการทำงาน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีมีประสิทธิภาพ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยังได้กำหนดให้มี PMDU สำนักงานบริหารนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ ได้ทำหน้าที่เร่งรัดติดตามประเมินผล และถ่ายทอดนโยบายคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ลงมายังหน่วยงานระดับปฏิบัติอีกด้วย

นายกฯ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ในโอกาสนี้ ขอน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีใจความสำคัญว่า ชาติบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต ร่างกาย ซึ่งจะดำรงอยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อย ทำงานกันเป็นปกติ พร้อมกันอย่างไร ชาติ บ้านเมือง ก็จะดำรงอยู่ได้ เพราะสถาบันต่างๆ ตั้งมั่น และปฏิบัติหน้าที่ของตน ทั้งนี้ พระองค์ได้ให้สติกับพวกเราทุกคน และขอให้ศาสตร์พระราชานี้ เป็นแรงกระตุ้น พลังแผ่นดิน จากทุกภาคส่วน ในการที่จะร่วมกันเดินหน้าประเทศของเรา ไปสู่ความสำเร็จ เพื่ออนาคตของลูกหลานสืบไป





คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 3 กุมภาพันธ์ 2560

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2559 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีผู้ได้รับพระราชทานรางวัล 2 ราย จากผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้งสิ้น 59 ราย จาก 24 ประเทศ ดังนี้

1. สาขาการแพทย์ ได้แก่ เซอร์ เกรกอรี พอล วินเทอร์ (Sir Gregory Paul Winter) คณบดีวิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร เป็นนักชีวเคมีระดับชั้นนำของโลกที่ได้ริเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีในการสร้าง และดัดแปลงโมเลกุลของแอนติบอดีให้มีประสิทธิภาพสูงและลดความเป็นสิ่งแปลกปลอมลง นำไปสู่ความก้าวหน้าพัฒนายากลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรค ที่เดิมรักษาได้ยาก และมีผลข้างเคียงสูง เช่น กลุ่มภูมิคุ้มกัน โรครูมาตอยด์ และโรคมะเร็ง ตลอดจนก่อให้เกิดการพัฒนายาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับเป็นคุณประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของผู้ป่วยนับร้อยล้านคนทั่วโลก

และ 2. สาขาสาธารณสุข ได้แก่ ศ.นพ.วลาดิเมียร์ ฮาชินกี (Professor Vladimir Hachinski) ศาสตราจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา เป็นผู้นำในด้านโรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองเสื่อมจากปัญหาหลอดเลือด ผลงานของเขานอกจากจะช่วยชีวิตผู้ป่วยจำนวนมากแล้ว ยังสามารถป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อม และความจำเสื่อมได้อีกด้วย รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลนี้ เป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้จัดตั้งขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน และพระบิดาแห่งการสาธารณสุขไทย

ทั้งนี้ นอกจากแสดงให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ยาวไกลของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในการตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในวงการแพทย์ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้มีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ รวมทั้งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แล้ว

ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ยังทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักวิจัยไทยในทุกสาขาวิชาชีพ โดยได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอยน้ำ หรือที่เรียกว่ากังหันน้ำชัยพัฒนา เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาน้ำเสีย คือ ใช้เครื่องกลอย่างง่ายในการเติมอากาศ แต่มีประสิทธิภาพสูงในการปรับคุณภาพน้ำ และรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่อมาได้รับทูลเกล้าถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2536 นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงคิดค้น และจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์สำหรับแก้ปัญหาสังคม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นเพื่อให้นักประดิษฐ์รุ่นเล็ก นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงนักวิจัยและพัฒนารุ่นใหญ่มืออาชีพของไทย ได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท รัฐบาลถึงกำหนดให้วันที่ 2 ก.พ. ของทุกปี เป็นวันนักประดิษฐ์

นอกจากนี้ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแด่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งนักประดิษฐ์ไทยอีกด้วย

สำหรับในปีนี้งานวันนักประดิษฐ์ และงานมหกรรมสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 6 กุมภาพันธ์ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร ผมของเชิญชวนพี่น้องประชาชน เยาวชน นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจเอกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ข้าราชการ หน่วยงาน รวมทั้งผู้ที่สนใจร่วมงาน และชมผลงานวิจัย ผลผลิต ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ สิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆ สำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ด้วยการขยายผลต่อยอดเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่สำคัญก็คือ การนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหา และการพัฒนาประเทศต่อไปได้

ทั้งนี้ ผลงานต่างๆ โดยเฉพาะที่ได้รับรางวัลนั้น ผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการขึ้นบัญชีสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมไทย เพื่อสำหรับการต่อยอด การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมทั้งการจดสิทธิบัตร เพื่อเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทุกอย่างต้องทำอย่างมีระเบียบแบบแผน และเป็นสากล เนื่องจากจะเป็นพื้นฐานในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ในการที่จะนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนด้วย

และในโอกาสวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันทหารผ่านศึก ผมขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ได้ระลึกถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ทั้งชีวิตและเลือดเนื้อ ของทั้งอาสาสมัคร พลเรือน ตำรวจ ทหารในอดีต เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งความเป็นชาติ และเกียรติภูมิของประเทศไทยให้คงอยู่จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งความเสียสละของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง สำหรับการปฏิบัติงานปกป้องอธิปไตย ณ พื้นที่เสี่ยงภัยห่างไกล ทุรกันดารตามเขตแนวชายแดน และการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการแสดงน้ำใจจากแนวหลัง อุดหนุนซื้อดอกป๊อบปี้สีแดง ซึ่งนำเงินรายได้มาสมทบสงเคราะห์ และเป็นสวัสดิการให้กับทหารผ่านศึกของไทยต่อไปด้วย

พี่น้องประชาชนครับ เส้นตรงจะเกิดจากจุดเล็กๆ ที่เรียงต่อกันจนเป็นรูปทรงเป็นงานศิลปะ เป็นจิตรกรรม เป็นสถาปัตยกรรม เป็นสิ่งปลูกสร้าง การจะสร้างเมืองก็จะเริ่มจากอิฐทีละก้อน การเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ เริ่มจากผลงานเล็กๆง่ายๆ การไปให้ถึงจุดหมาย สิ่งสำคัญไม่ใช่การก้าวเดินให้ไวจนเสียการทรงตัว แต่อยู่ที่การไม่หยุดเดิน และการใช้ประสาทสัมผัสให้สัมพันธ์กันเพื่อการเดินที่ปลอดภัยไม่ตกหลุม หรือสะดุดสิ่งกีดขวาง ดังนั้นการทำงานของรัฐบาลนี้จะมีการสร้างศักยภาพ จุดแข็ง และแก้ไขจุดอ่อน ในทุกขั้นตอน ทุกรายละเอียด ในกระบวนการทำงาน ซึ่งจะมีการทบทวนอยู่เสมอ เพราะเข้าใจว่าปัญหาปากท้อง ปัญหาของประเทศ ยังอาจไม่สามารถแก้ไขให้จบสิ้นไปภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีกว่า แต่เราก็ไม่อาจจะรั้งรอ หรือละเลยได้

ปัจจุบันการทำงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่เรียกว่า ป.ย.ป. นั้น ผมถือว่าเป็นการปรับกระบวนการทำงานของรัฐบาล ร่วมกับแม่น้ำทุกสาย เพื่อให้เป็นผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ทั้งในด้านขั้นตอน กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อให้ 4 งานหลักอันได้แก่ 1. การบริหารราชการ 2. การปฏิรูป 3. ยุทธศาสตร์ชาติ และ 4. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ สามารถเดินหน้าไปได้ และสามารถส่งต่อรัฐบาลต่อไปได้ สิ่งที่รัฐบาล และ คสช. ได้ดำเนินการไปแล้วมีอยู่มากมาย ทั้งที่ทำเสร็จแล้ว หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการ หรือกำลังเริ่มดำเนินการ ซึ่งจำเป็นต้องจัดระบบ ระเบียบ เพื่อเร่งรัดดำเนินการ พร้อมกำหนดความสำคัญเร่งด่วน ขับเคลื่อนด้วยกลไกใหม่ สร้างความสอดคล้องบูรณาการ และติดตาม ประเมินผลได้ ในทุกระดับ อันประกอบด้วย

1. คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ จะขับเคลื่อนงานที่รัฐบาลได้ดำเนินการ และขับเคลื่อนไว้อยู่แล้ว โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน 6 คณะ ทั้งงานที่เป็นฟังก์ชัน และงาน Agenda ก็คือ งานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ และงานที่เป็นงานนโยบาย งานเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้โดยเร็ว และสอดคล้องกันในทุกมิติ

2. คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ เป็นการนำวาระปฏิรูปทั้งหมด ทั้งที่มาจากรัฐบาล คสช. สปท. สนช. และ กขป. มากกว่า 200 เรื่อง ซึ่งบางส่วนได้คิดและทำไปแล้ว มาจัดกลุ่ม และกำหนดลำดับความสำคัญเร่งด่วน โดยขั้นต้น ในปี 2560 นี้ จะมีทั้งหมด 27 วาระปฏิรูป ที่สำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ส่วนวาระปฏิรูปที่เหลือ กิจกรรมที่เหลือนั้น ก็ต้องจัดลำดับ และดำเนินการตามความสำคัญเร่งด่วน โดยเริ่มดำเนินการคู่ขนานกันไปเพื่อพร้อมที่จะส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่ต่อไป โดยจะมีการจัดทำโรดแมป การทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้การส่งมอบผลการปฏิรูปสู่พี่น้องประชาชน มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

3. คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง จะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อการพูดคุย ทั้งกลุ่มการเมือง นักกฎหมาย นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐกิจและสังคม ประชาสังคม การต่างประเทศ และสื่อมวลชน เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ ข้อเสนอที่ตกผลึกในมุมมองของแต่ละกลุ่ม ที่จะพูดจาภาษาเดียวกัน ก่อนที่จะนำทุกข้อเสนอจากการระดมสมองมาพิจารณาแบบบูรณาการกันในคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อให้ได้ข้อเสนอเหล่านั้นมีผลเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ขอให้เข้าใจตรงกันว่า การปรองดองนั้นมิใช่เฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้น ได้มีเรื่องอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่ภาครัฐ และภาคประชาชน ยังเข้าใจไม่ตรงกัน จึงไม่เกิดความร่วมมือซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อส่วนรวม และประเทศชาติในอนาคต เนื่องจากเป็นการดำเนินการในวันข้างหน้าทั้งสิ้น เช่น เรื่องพลังงาน โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะ เหล่านี้เป็นต้น

นอกจากนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนและติดตามการทำงาน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีมีประสิทธิภาพ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ยังได้กำหนดให้มี PMDU สำนักงานบริหารนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ ได้ทำหน้าที่เร่งรัดติดตามประเมินผล และถ่ายทอดนโยบายคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ลงมายังหน่วยงานระดับปฏิบัติอีกด้วย

ในโอกาสนี้ ผมขอน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีใจความสำคัญว่า ชาติบ้านเมือง ประกอบด้วย นานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต ร่างกาย ซึ่งจะดำรงอยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อย ทำงานกันเป็นปกติ พร้อมกันอย่างไร ชาติ บ้านเมือง ก็จะดำรงอยู่ได้ เพราะสถาบันต่างๆตั้งมั่น และปฏิบัติหน้าที่ของตน ทั้งนี้ พระองค์ได้ให้สติกับพวกเราทุกคน และขอให้ศาสตร์พระราชานี้ เป็นแรงกระตุ้น พลังแผ่นดิน จากทุกภาคส่วน ในการที่จะร่วมกันเดินหน้าประเทศของเรา ไปสู่ความสำเร็จ เพื่ออนาคตของลูกหลานสืบไป

พี่น้องประชาชนที่รัก ผมขอให้เราลองมองย้อนไปในอดีต ระลึกถึงกุศโลบายของบรรพบุรุษ ในการสร้างความใกล้ชิด ความผูกพัน ความรัก และความสามัคคี ในชุมชน ท้องถิ่น ที่อยู่คู่สังคมเกษตรกรรมของไทยมาช้านาน ได้แก่ ประเพณีการลงแขก ทำนา ดำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว แม้แต่ปัจจุบัน เราจะก้าวสู่สังคมประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ทุกคนจะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และไม่ว่าใครจะเป็นคนไทย 1.0 2.0 3.0 หรือจะเป็น 4.0 ก็ตาม แต่ความรู้รักสามัคคีของทุกคนในชาติจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอยู่เสมอ ด้วยกุศโลบายสร้างความสามัคคีดังกล่าว ช่วยรัฐบาลสามารถเดินหน้านโยบายาที่สำคัญต่างๆ ตามแนวทางประชารัฐ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น 1. การแก้ปัญหาแฟลตดินแดง ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีความทรุดโทรมทางกายภาพ และบั่นทอนสุขภาพจิต คุณภาพชีวิตผู้ที่อยู่อาศัย ที่ผ่านมากว่า 16 ปี ปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยอุปสรรคก็คือความไม่เข้าใจจึงไม่ร่วมมือ ไม่ใช่เรื่องงบประมาณ ไม่ใช่เรื่องแผนการ หรือเรื่องอื่นใด ด้วยความจริงใจที่ต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม และต้องการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลนี้ใช้เวลาเพียง 10 เดือน ตามแนวทางศาสตร์พระราชา ได้แก่ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา อันเป็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่สำคัญที่รัฐบาลยึดถือเป็นแนวทางทั้งการวางรากฐานการพัฒนาทุกด้านและการปฏิรูปประเทศโดยตลอด ร่วมกับแนวทางประชารัฐ โดยสามารถสร้างความเข้าใจแสวงหาความร่วมมือจนชาวชุมชนดินแดงเห็นด้วยและเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 97 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี พ.ศ.2559 - พ.ศ.2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง และการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยแฟลตจี เป็นโครงการนำร่องที่จะสามารถรองรับผู้อยู่อาศัยเดิมกว่า 6,500 หน่วย และผู้อยู่อาศัยกลุ่มใหม่เกือบ 14,000 หน่วย รวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 หน่วย โดยดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ได้แก่ ผ่านความเห็นชอบ และการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของเอไอเอ การเปิดโอกาสให้ผู้แทนชุมชนมีส่วนร่วมกำหนดขอบเขตงานของทีโออาร์ และการประกวดราคาจ้าง โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ จนไปสู่การวางศิลาฤกษ์ และเริ่มก่อสร้างได้ เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา

และ 2. เกษตรแปลงใหญ่ คือการสร้างรายได้มั่นคงและแก้ปัญหาให้เกษตรกรยั่งยืน จะเป็นการปรับเปลี่ยนปฏิรูปวิธีการผลิต โดยหันมาให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มและการรวมพื้นที่เปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ นอกจากเพื่อสร้างพลังอำนาจในการเข้าถึงแหล่งทุน ปัจจัยการผลิต และการตลาดแล้ว ยังเป็นการสร้างพลังความสามัคคี ตั้งแต่ระดับฐานราก จนกิจกรรมที่มีส่วนร่วม การตัดสินใจร่วม ผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งมีทั้งแปลงใหญ่ ปรับพืชเชิงเดี่ยว ไร่นาส่วนผสม ประมง ปศุสัตว์ พืชผักผลไม้ ไม่ใช่ข้าวเพียงอย่างเดียว หรือพืชเชิงเดี่ยวอื่นๆ ชนิดเดียว จะอยู่พื้นที่ติดต่อกัน หรือไม่ติดต่อกันก็ได้ ขอความร่วมมือทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย

วันนี้มีพี่น้องเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ประชารัฐ สามารถผลิตสินค้ามีคุณภาพ ในต้นทุนที่ลดลง ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสม สอดคล้องกับการใช้น้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่เพียงพอ พร้อมจะตั้งศูนย์เรียนรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร โดยใช้งานวิจัยนวัตกรรม เทคโนโลยี ในการบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ามาช่วยภายใต้การสนับสนุนและบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้จัดการแปลงเป็นผู้บริหารจัดการ

สำหรับผลการดำเนินงานเกษตรแปลงใหญ่ปี 2559 มีการขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่ 9 ประเภท ได้แก่ ข้าว พืชไร่ ไม้ยืนต้น ผักและสมุนไพร ไม้ผล หม่อน กล้วยไม้ ปศุสัตว์ และประมง มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเกือบ 10,000 ราย บนพื้นที่รวมกว่า 1.5 ล้านไร่ ประสบผลสำเร็จแล้ว 480 แปลง จาก 600 แปลง ตัวอย่างกลุ่มสินค้าข้าว สามารถลดต้นทุนการผลิต จากเดิม 4,200 เป็น 3,400 กว่าบาทต่อไร่ ลดลงร้อยละ 25 หรือราว 1,000 บาทต่อไร่ เพิ่มผลผลิตจากเดิม 583 กิโลกรัม เป็น 659 กิโลกรัมต่อไร่ และสร้างมูลค่าเพิ่มรวม 1,188 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมขณะนี้ สามารถสรุปผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินงานของชนิดสินค้าหลักจำนวน 12 ชนิดสินค้า จาก 9 ประเภท คิดเป็นร้อยละ 92 ของพื้นที่ ที่ดำเนินงานในปี 2559 พบว่าก่อให้เกิดรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1,500 ล้านบาท ลดต้นทุนราว 2,700 ล้านบาท เฉลี่ยมูลค่าที่เกษตรกรได้รับประมาณ 41,000 บาทต่อคน

ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้กลไกประชารัฐนั้น เห็นว่าข้าราชการซึ่งเป็นผู้แทนภาครัฐจะมีความสำคัญอย่างมาก ในฐานะที่เป็นตัวแทนรัฐบาล เชื่อมความร่วมมือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างภาคธุรกิจเอกชนกับประชาชน ดังนั้น การสร้างนวัตกรรมทางความคิด ขบวนการทำงาน การสร้างเครือข่ายเพื่อสรรหาแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการกับปัญหาเดิมๆ ที่หมักหมม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพแห่งการทำงานให้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ประชาชนพึงพอใจ และมีความสุขมากขึ้น โดยนวัตกรรมไม่เป็นแต่เพียงสิ่งประดิษฐ์เท่านั้น แต่อาจหมายถึงกระบวนการคิด ขั้นตอนการทำงานก็ได้ ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องข้าราชการทุกคนที่ทำงานตามพระเนตรพระกรรณ เพื่อความสุขของปวงชนชาวไทยให้ประสบความสำเร็จ โดยยึดมั่นในอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนอยู่เสมอ

สำหรับกรณีการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาในอีกหลายเรื่อง ทั้งวิธีการ กระบวนการ การทำกฎหมายให้สอดคล้องกับปัจจุบันและสากล ทั้งนี้ รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นและจริงใจที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ จึงขอให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนได้ร่วมมือกัน

ตามที่รัฐบาลได้นำภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชัน ชุด เมืองนิรมิตแห่งจิตตนคร บทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นการสอนธรรมะผ่านตัวการ์ตูนมาฉายให้เด็กๆ ได้ชมในวันเด็กแห่งชาติ ณ ทำเนียบรัฐบาล ที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งสื่อสารมวลชน ที่ได้ตอบรับ โดยจะนำสื่อดังกล่าวไปเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ อย่างพร้อมเพรียงกันในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 นี้ ได้แก่สถานี NBT กรมประชาสัมพันธ์ สถานีข่าว TNN24 (ทเวนตี-โฟร์) สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ETV สถานีโทรทัศน์ Thai PBS ช่อง 3 Family ช่อง 5 กองทัพบก MCOT FAMILY ช่อง 14 True ปลูกปัญญา Now 26 และ New TV

ทั้งนี้ หลังจากการเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แล้ว ก็จะเผยแพร่ซ้ำอีก ในสื่อทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี โซเชียลมีเดีย ต่อไป และขณะนี้ได้รับรายงานว่า ได้มีการเตรียมจัดทำเป็นภาคภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เผยแพร่ในสื่อภาคภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวางต่อไปอีกด้วย

ผมขอเชิญชวนเด็ก เยาวชน และคนไทยทุกคน ได้ติดตามชมภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ชุดเมืองนิรมิตแห่งจิตตนครนี้ เพื่อจะได้นำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อันจะก่อให้เกิดความสงบสุข ความร่มเย็นในผืนแผ่นดินไทยนี้ตลอดไป

พี่น้องประชาชนครับ สุดท้ายนี้ ผมมีอีก 2 กิจกรรมที่สำคัญ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าประเทศของเรา อันได้แก่ 1. งานระดับนานาชาติ ก็คือ งาน Opportunity Thailand ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อประกาศให้คนไทยและทั่วโลกได้รับทราบถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในด้านการลงทุนอย่างแท้จริง ทั้งศักยภาพที่จะก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ศักยภาพที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตลอดจนพื้นที่เป้าหมายในการลงทุน ก็คือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่เรียกว่า EEC ที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเป็นการประกาศเปิดตัวเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนที่มีเทคโนโลยีระดับสูง คือ (1) พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไขใหม่ (2) พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ (3) ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก

ในงานนี้จะมีการเชิญผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลก เช่น บริษัท หัวเหว่ย อายิโนะโมะโต๊ะ แอร์บัส มาบรรยาย ร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังได้เชิญที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน ที่เป็นผู้บริหารระดับสูง หรือประธานบริษัทจากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก จำนวน 33 คน มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ ประเทศไทย 4.0 ตลอดจนมีการเชิญผู้สื่อข่าวจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 70 คน มาเยือนประเทศไทย เพื่อให้เห็นเชิงประจักษ์ถึงศักยภาพและความพร้อมในด้านต่างๆ ของไทยที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และเข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพ สัมผัสได้ ผมได้สั่งการให้นำแบบจำลองของพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นศักยภาพและความพร้อมด้านต่างๆ ของพื้นที่ที่จะรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกในลักษณะ OSS หรือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ และการพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาคอีกด้วย

ผมเชื่อว่า งานนี้จะช่วยจุดประกาย เสริมสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์สำคัญในการจัดงาน

และ 2. งานระดับประเทศ ที่จะช่วยเปิดประตูไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ได้แก่ งานเมืองสุขภาพดี วิถีไทย ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม โดยกระทรวงสาธารณสุขระหว่างวันที่ 6 - 26 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น มาตรฐานบริการสุขภาพในสถานบริการของประเทศไทย การต่อยอดภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยสู่ภาคเศรษฐกิจสร้างชาติ และการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมด้านบริการ ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์แผนไทย หรือที่เรียกว่าการแพทย์ผสมผสาน สู่กระบวนการส่งเสริมและป้องกันโรคของประชาชน ในรูปแบบของตลาดนัดสุขภาพ

นอกจากนี้ จะเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560 - 2564) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) การส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรที่มีศักยภาพ (2) การพัฒนาอุตสาหกรรมและการตลาดที่มีคุณภาพระดับสากล (3) การส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรเพื่อรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ และ (4) การสร้างความเข้มแข็งการบริหารและนโยบายภาครัฐ

ก็ขอเชิญพี่น้องประชาชนทุกท่านที่รักและใส่ใจในสุขภาพของตน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต มาร่วมกิจกรรมในงานนะครับ ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น