สวนดุสิตโพล เผย ชาวบ้านร้อยละ 75.22 เชื่อเหตุความแตกแยกมาจากมุมมองที่ไม่ตรงกัน แนะฟังความเห็นกัน ลดทิฐิ ส่วน 74.35 ชี้ มาจากอำนาจและผลประโยชน์ 81.30 หนุนนายกรัฐมนตรี นำปรองดอง 83.26 คาด หากทำได้บ้านเมืองสงบ ไม่มีประท้วง 86.30 ระบุ หากไม่สำเร็จยังมีทะเลาะ
วันนี้ (28 ม.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,380 คน ประเด็นการปรองดองในทัศนะของประชาชน โดยถามถึงสาเหตุของความแตกแยก และวิธีสร้างความปรองดอง พบว่า 75.22% เชื่อว่า มาจากความคิดเห็น มุมมองที่ไม่ตรงกัน ส่วนวิธีสร้างความปรองดอง คือ ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ใจเย็น ลดทิฐิ ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา นึกถึงประโยชน์ของส่วนรวม ฯลฯ 74.35% เชื่อว่า มาจากอำนาจและผลประโยชน์ ส่วนวิธีสร้างความปรองดอง คือ สร้างจิตสำนึกคุณธรรมจริยธรรม ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ มีบทลงโทษที่รุนแรง มีการตรวจสอบการทำงาน ฯลฯ 70.22% เชื่อว่า มาจากความขัดแย้งทางการเมือง ส่วนวิธีสร้างความปรองดอง คือ ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน ไม่ว่าร้าย ถอยคนละก้าว ร่วมมือกันทำงานเพื่อบ้านเมือง ฯลฯ 65.65% กฎหมายไม่เคร่งครัด 2 มาตรฐาน ส่วนวิธีสร้างความปรองดอง คือ มีกฎหมายที่เป็นธรรม บังคับใช้กับทุกคนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ฯลฯ และ 62.83% เชื่อว่า มาจากการยุยง ใส่ร้ายป้ายสี ให้ข้อมูลที่บิดเบือน ส่วนวิธีสร้างความปรองดอง คือ ใช้สติและวิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ไม่ฟังความข้างเดียว สื่อต้องเป็นกลาง และเสนอข่าวที่เป็นจริง ฯลฯ
เมื่อถามว่า ใครที่ควรจะเป็นแกนนำในการสร้างความปรองดอง 81.30% พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี76.52% ข้าราชการ 71.74% ผู้นำท้องถิ่น หรือ ชุมชน 68.70% รัฐบาล และ 65.22% นักการเมือง
เมื่อถามถึงผลดีที่เป็นรูปธรรมซึ่งเกิดจากการปรองดอง พบว่า 83.26% บ้านเมืองสงบ ไม่มีชุมนุมประท้วง 77.83% ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น 69.57% บ้านเมืองมั่นคง มีเสถียรภาพ 67.39% ทุกคนทุกฝ่ายรักและสามัคคีกัน และ 60.22% ประชาชนมีความสุข ไม่เครียด และเมื่อถามถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น ถ้าผลการปรองดองไม่สำเร็จ พบว่า 86.30% ยังคงมีการทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งฝ่าย 84.78% เศรษฐกิจแย่ การค้าการลงทุนชะงัก 80.00% ประเทศไม่พัฒนา ทำงานขัดแย้งกัน 75.65% เกิดการทุจริต คอร์รัปชันมากขึ้น และ 57.61% สังคมเสื่อม คนขาดศีลธรรม