กรมชลฯ ชง 18 กลุ่มจังหวัด พิจารณานำ 433 โครงการทั่วประเทศที่มีความจำเป็นและมีความพร้อมในกรอบส่วนราชการที่ขอรับการสนับสนุน วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ในงบประมาณกลางปี 2560 กว่า 1.9 แสนล้าน บรรจุเข้าแผนจังหวัด เน้นโครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ แผนงานป้องกันภัยแล้ง และแผนงานป้องกันและบรรเทาอุทกภัย
วันนี้ (20 ม.ค.) มีรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า อธิบดีกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงถึงอธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้หัวหน้ากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ดำเนินการตรวจสอบกรอบงบประมาณของกลุ่มจังหวัดตามแผนงานภายใต้โครงการตามแนวทางการสร้างคามเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศ หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรืองบกลางปี 2560 วงเงิน 1 แสนล้านบาท
หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการตามแนวทางสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ เห็นชอบ แผนงาน/โครงการที่เสนอขอรับสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมระจำปีงบประมาณ 2560 แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่ม (ชุด 70,000 ล้านบาท หรือ 4,000 ล้านบาท/กลุ่ม) และเห็นชอบให้ส่วนราชการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม (ชุด 30,000 ล้านบาท (กองทุน SME/Missing Links - Cross Regional หรือ Function to area /Big rock projects) เพื่อสนับสนุนแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเพิ่มเติมและนโยบายรัฐบาล วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ กรมชลประทานได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่ายังมีแผนงานโครงการที่มีความจำเป็นและมีความพร้อม สามารถสนับสนุนนโยบายรัฐบาล และแผนงานกลุ่มจังหวัด โดยกรมชลประทานได้เสนอของบประมาณกลางปี 2560 รวมทั้งสิ้น 433 โครงการ วงเงิน 15,960 ล้านบาท เพื่อขอสนับสนุนในงบประมาณเพิ่มเติม (ชุด 30,000 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่เป็นงบประมาณด้านชลประทานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ แผนงานป้องกันภัยแล้ง แผนงานป้องกับและบรรเทาอุทกภัย จึงขอให้ทางกลุ่มจังหวัดพิจารณาเพื่อนำโครงการที่มีความจำเป็นและมีความพร้อมบรรจุไปยังแผนจังหวัดในคราวต่อไป
มีรายงานว่า ตามกรอบงบประมาณดังกล่าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 17 มกราคม เป็นร่าง พ.ร.บ.การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท แบ่งเป็น กรอบวงเงินแผนงานบูรณาการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด, กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจในประเทศ คาดว่าจะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ในเดือนเมษายน 2560 นี้จะช่วยส่งผลในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.3 ถึง 0.5% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณว่าจะเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
โดยงบกลางปี 2560 ที่เพิ่มขึ้นจะนำมาจัดสรร 5 ส่วน ประกอบด้วย 1. แผนงานบูรณาการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศ 1.15 แสนล้านบาท เป็นโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 8 หมื่นล้านบาท กองทุนพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ 2 หมื่นล้านบาท และงบกลางรายการค่าใช้จ่ายส่งเสริม และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศ 1.5 หมื่นล้านบาท
2. กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นกองทุนที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 3. กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ 1.5 หมื่นล้านบาท ที่จะให้หมู่บ้านไปพัฒนาแห่งละ 2 แสนบาท 4. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 2.7 หมื่นล้านบาท และ 5. งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น 2.29 หมื่นล้านบาท
สำหรับการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ 2 หมื่นล้านบาท จะมาช่วยผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต่อยอดธุรกิจ ซึ่งในอนาคตจะมีกลุ่มประชารัฐท้องถิ่น โดยจะมีการคัดเลือกวิสาหกิจที่มีศักยภาพเพื่อส่งเข้าสู่ส่วนกลาง และดำเนินการให้การช่วยเหลือ โดยจะพิจารณาทั้งในรูปแบบของการร่วมทุน และการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำด้วย เพื่อให้สอดรับกับโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัด และสนับสนุนเป็นไทยแลนด์ 4.0 เปลี่ยนแปลงจากประเทศที่เพิ่มมูลค่าเป็นการสร้างนวัตกรรม โดยการเพิ่มผลิตภาพนวัตกรรม 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มอาหารเกษตร ชีวภาพ สุขภาพสาธารณสุขการแพทย์ หุ่นยนต์ ดิจิตอล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นต้น